18/6/57

แนวทางการทำงานมุ่งไปสู่ความสำเร็จ

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นายสมศักดิ์ ภู่สกุล
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. 2552
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการพิเศษ
หน่วยงาน :  สำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : แนวทางการทำงานมุ่งไปสู่ความสำเร็จ

การทำงานที่สำเร็จบรรลุเป้าหมายตามความคาดหวัง จะทำให้เรามีพลัง และกำลังใจในการทำงานในเรื่องต่อๆ ไป ซึ่งก็ได้อาศัยแนวทาง และ เครื่องมือที่ใช้ในการทำงาน   ดังนี้  1.งานในแต่ละเรื่อง  ต้องรู้เป้าหมายที่ต้องการทำงาน เพราะเป้าหมายคือเข็มทิศชี้นำแนวทางการทำงานให้ประสบความสำเร็จ                                                                                                                     
2.กำหนดแผนการทำงาน จะทำเป็นแผนงานประจำวันว่า ในแต่ละวัน ต้องทำงานอะไรบ้าง และการกำหนดแผนการทำงานนั้นจะทำในช่วงเวลาก่อนนอน หรือ หลังเลิกงาน ซึ่งจะพิจารณาจัดลำดับความสำคัญของงานดังนี้
ทั้งนี้การกำหนดแผนงานนั้น จะกำหนดระยะเวลาเริ่มต้น และสิ้นสุดของการทำงานไว้ด้วย 
3.มอบหมายงานให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะกระจายงานหรือมอบหมายงาน โดยคำนึงถึงความรู้ สามารถ ของแต่ละคน ความสำคัญของงาน และเร่งด่วนของงาน สำหรับผู้ที่ได้รับมอบหมายงาน จะจัดเป็น 4 กลุ่ม ตามลักษณะผลงานที่ผ่านมา คือ
-   ความสามารถแย่ ผลงานแย่ จะไม่มีการมอบหมายงานใดๆ ให้ทำ
-   ความสามารถดี ผลงานแย่
-   ความสามารถแย่ ผลงานดี
-   ความสามารถดี ผลงานดี
[ความสามารถ หมายถึง “ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ มีน้ำใจช่วยเหลือเพื่อนร่วมงาน รักการเรียนรู้ พัฒนาตนเอง และมีการวางแผนงานที่ดี” ผลงาน หมายถึง “ความครบถ้วนสมบูรณ์ของงาน และกำหนดเวลาการส่งงาน”] 
อย่างไรก็ตาม ความรู้ ความสามารถย่อมฝึกฝนกันได้ ต้องเปิดโอกาส ให้มีการฝึกฝน เพื่อให้ทุกคน สามารถที่เข้าอยู่ในกลุ่ม ความสามารถดี ผลงานดี หรือเป็น คนเก่ง และคนดี ขององค์กร 
4. รีบ ทำงานให้เสร็จตามแผน และหากเป็นงานที่มอบหมายให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ก็ต้องควบคุมดูแล ให้สามารถส่งงานได้ตามแผนที่กำหนด และต้องมีความอดทนในการจัดการงานต่างๆ ให้สำเร็จ แม้ว่าจะอยู่ภายใต้สิ่งแวดล้อมที่กดดัน
สำหรับ สิ่งเร้าที่ทำให้ไม่มีความอดทนในการทำงาน  อาจจะมาจาก หัวหน้างาน ลักษณะงาน เพื่อนรวมงาน ลูกน้อง และบุคคลอื่น หรือผู้รับบริการ ซึ่งหากเราฝึกให้เป็นคนมองโลกในทางบวก  มองภาพรวมของปัญหาที่จะตามมา ควบคุมอารมณ์ และตั้งสติให้มั่น เราก็จะอดทนต่อสิ่งเร้าได้ 
5.ตรวจสอบ และประเมินแผนการทำงาน โดยทุกสิ้นวัน จะประเมินแผนการทำงาน และหากงานใดไม่สำเร็จต้องหาสาเหตุ ว่าเป็นเพราะเหตุใด และหาวิธีการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับการกำหนดแผนการทำงานประจำวันใหม่
6 ใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ เป็นเครื่องมือในการทำงาน ได้แก่ โปรแกรม Microsoft Project ใช้ในการกำหนดแผนงานประจำวัน และการมอบหมายงาซึ่งโปรแกรมสามารถระบุชื่อผู้รับผิดชอบงานในแต่ละงานได้ ทำให้ง่ายในการติดตาม ปรับปรุงแผน โปรแกรม Mindjet MindManager ใช้ในการสรุปงานเรื่องต่างๆ เพื่อให้เห็นภาพความคิดที่หลากหลาย มุมองกว้างขวาง การเชื่อมโยงข้อมูลที่เกี่ยวข้อง

บทสรุป ของการทำงานที่มุ่งไปสู่ความสำเร็จนั้น ต้องรู้เป้าหมายของงานที่ทำ วางแผนการทำงานเป็น ทำงานด้วยความอดทน และประเมินผลงานที่ทำ พร้อมทั้งรู้จักใช้เครื่องมือมาสนับสนุนการทำงาน

รู้เป้าหมาย มีแผนงาน รู้จักใช้เครื่องมืองานนั้นยอมสำเร็จตามกำหนด
             

12/6/57

“ รู้เขา รู้เรา บริหารความเสี่ยง ”

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ : นางนวลจันทร์   คำหมู่
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง : คลังจังหวัดดีเด่น ปี พ.ศ. 2552

ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง : คลังจังหวัดพิษณุโลก
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน :  “ รู้เขา  รู้เรา  บริหารความเสี่ยง ”

“รู้เขา  รู้เรา บริหารความเสี่ยง” เป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำงานในยุคปัจจุบัน ด้วยสภาพงานของเราที่เปลี่ยนไป เน้นการบูรณาการเชื่อมโยงการทำงาน ระหว่างบุคคล ระหว่างกลุ่มงาน ระหว่างหน่วยงานมากขึ้น เมื่อมีการทำงานร่วมกับคนอื่น บางครั้งสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือความขัดแย้งทางความคิดของแต่ละคน ของแต่ละองค์กร ถ้าเราเข้าใจ และสามารถบริหารจัดการข้อขัดแย้งและความเสี่ยงได้ เราก็จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพให้กับ ตนเอง องค์กร และประเทศชาติ

รู้เขา
เมื่อมองที่ตนเอง เขา จะหมายถึง ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน และผู้ใต้บังคับบัญชา  รู้  หมายถึง รู้จักบทบาท หน้าที่ ของแต่ละคน เมื่อรู้แล้วก็ต้องสามารถยอมรับความแตกต่างของแต่ละคนได้ ยอมรับในความบกพร่องของแต่ละคนได้  เมื่อมองที่องค์กร เขา จะหมายถึง หน่วยงาน ส่วนราชการอื่นๆ  รู้ หมายถึง รู้จักบทบาท หน้าที่ ภารกิจ ของหน่วยงาน เมื่อรู้แล้ว สามารถที่จะนำทรัพยากรและบทบาทหน้าที่ ของแต่ละหน่วยงานมาใช้ประโยชน์กับองค์กรของเราให้ได้

รู้เรา
หมายความว่า รู้ว่าเรา(ตนเอง และองค์กร) คือใคร มีหน้าที่อะไร มีข้อบกพร่องอย่างไร มีจุดอ่อนอย่างไร เช่นนั้นแล้วจะสามารถดำเนินงานตามบทบาท หน้าที่ ได้อย่างถูกต้อง
         
บริหารความเสี่ยง
ด้วยลักษณะงานที่เปลี่ยนไป ย่อมเกิดความเสี่ยงกับงานสูง ดังนั้นการทำงานจะต้องมีการบริหารปัจจัย ควบคุมกิจกรรม รวมทั้งกระบวนการดำเนินงานต่างๆ โดยลดมูลเหตุแต่ละโอกาสที่องค์กรจะเกิดความเสียหายกับองค์กร ให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้

19/5/57

ความเป็นผู้นำ

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นายกุลเศขร์ ลิมปิยากร
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. 2551
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  ผู้อำนวยการกลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
หน่วยงาน :  กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : ความเป็นผู้นำ

ลิงกับลา หญิงชาวบ้านคนหนึ่งอาศัยอยู่คนเดียวในกระท่อม ด้วยความเหงานางจึงหาสัตว์มาเลี้ยงไว้เป็นเพื่อน 2 ตัวคือ ลิงและลา วันหนึ่งหญิงชาวบ้านคนนี้ต้องออกไปตลาดเพื่อซื้ออาหาร ก่อนออกจากบ้านเธอได้เอาเชือกมาผูกคอลิงแล้วมัดขาของลาเอาไว้ทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เลี้ยงทั้งสองตัวเดินย่ำไปมาในกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ได้รับความเสียหาย 
ทันทีที่หญิงชาวบ้านออกจากบ้านไป ลิงซึ่งมีความฉลาดและแสนซนเป็นคุณลักษณะประจำตัว ก็ค่อยๆ คลายปมเชือกออกจากคอของมัน อีกทั้งยังซุกซนไปแก้เชือกมัดขาให้แก่ลาอีกด้วย หลังจากนั้นเจ้าลิงก็กระโดดโลดเต้นห้อยโหนโจนทะยานไปทั่วกระท่อมจนทำให้ข้าวของต่างๆ ล้มระเนระนาดกระจัดกระจายไปทั่ว อีกทั้งยังซุกซนรื้อค้นเสื้อผ้าของหญิงชาวบ้านมาฉีกกัดจนไม่เหลือชิ้นดี ในขณะที่ลาได้แต่มองดูการกระทำของเจ้าลิงอยู่เฉยๆ 
สักครู่หนึ่ง หญิงชาวบ้านคนนี้ก็กลับมาจากตลาด เจ้าลิงมองเห็นเจ้าของเดินมาแต่ไกลจากทางหน้าต่างก็รีบเอาเชือกมาผูกคอตนไว้ อย่างเดิมและอยู่อย่างสงบนิ่ง ฝ่ายหญิงชาวบ้าน เมื่อเปิดประตูกระท่อมเข้ามาเห็นข้าวของของตนถูกรื้อค้น กระจุยกระจายเช่นนั้น ก็เกิดโทสะขึ้นทันที หันมองลิงและลาเพื่อดูว่าใครเป็นผู้ก่อเรื่อง และเห็นว่าลาไม่มีเชือกผูกขาดังเดิม เธอก็คิดเอาเองว่าเจ้าลานี่เองคือตัวปัญหา ทำให้กระท่อมของเธอมีสภาพไม่ต่างจากโรงเก็บขยะ ดังนั้นหญิงชาวบ้านจึงวิ่งไปหยิบท่อนไม้นอกบ้านมา ทุบตีลาอย่างรุนแรง ซึ่งเจ้าลาผู้น่าสงสารก็ได้แต่ส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดจนสิ้นใจโดยไม่สามารถทำอะไรได้เลย  

ข้อคิดในการทำงาน 
เธอทั้งหลาย... 
เธอหลายคนคงไม่ค่อยชอบตอนจบของนิทานเรื่องนี้นัก เพราะสงสารเจ้าลาที่ไม่ได้ทำความผิดอะไร 
แต่กลับถูกเจ้าของทำโทษจนตาย ส่วนเจ้าลิงซึ่งเป็นต้นเหตุแท้ๆ กลับรอดพ้น และไม่ได้รับผลกรรมใดๆ 
แต่แท้ที่จริงแล้วนิทานเรื่องนี้ต้องการชี้ให้เห็นถึง ความเป็นผู้นำ ของ หญิงชาวบ้านที่ไม่พิจารณาเหตุการณ์ให้ถ่องแท้  เชื่อแค่สิ่งที่ตนเห็นแล้วลงโทษไปตามความรู้สึกและประสบการณ์ส่วนตัว เธอมองเห็นข้าวของเสียหายและมองเห็นลา  ที่หลุดออกมาจากเชือก แล้วตัดสินว่าลาคงเป็นผู้กระทำ แต่ไม่ได้มองว่าลาไม่มีปัญญาจะแก้เชือก และไม่มีนิสัยชอบรื้อ  
ทำลาย เธอมองเห็นลิงยังถูกเชือกล่ามอยู่ ก็คิดว่าลิงคงไม่ใช่ผู้กระทำ แต่มองไม่ออกว่าผู้น่าจะแก้ปมเชือกได้และมีนิสัยชอบรื้อทำลายนั้นคือ ลิง ความจริงถ้าเธอรู้จักสำรวจร่องรอยความเสียหายเสียสักเล็กน้อย เธอก็จะพบรอยเท้าและฟันของลิงกระจายไปทั่วห้อง แต่ไม่พบรอยเท้าของลาเลย เพราะลาไม่ได้เคลื่อนที่ไปไหน 
เหตุที่องค์กรหลายๆ องค์กรต้องเหน็ดเหนื่อยทรมานกันอยู่ทุกวันนี้ก็เพราะความสะเพร่าของผู้นำที่ "ปล่อยให้ลิงสร้างปัญหา แต่ลารับเคราะห์"

   ลาก็เหมือนกับคนที่ปฏิบัติงานได้ตามหน้าที่ แต่ไม่ค่อยมีปากมีเสียง พูดจาตรงไปตรงมา แต่ไร้เล่ห์เหลี่ยม  
   ลิงก็เหมือนกับคนที่ฉลาดแกมโกง พูดมาก พรีเซ็นต์เก่ง อ้างอิงตำราได้สารพัด แต่ไม่เคยทำงานจริง 

นายที่ดีไม่ควรปล่อยให้ลิงหลงระเริงว่าทำผิดเท่าไหร่นายก็ไม่มีทางรู้ ผู้เป็นนายไม่ควรยึดติดความสบาย นั่งรอฟังแต่รายงานในห้องประชุม รู้จักยอมเสียสละตน สละเวลาเล็กน้อยเพื่อค้นหาความจริง เพื่อควบคุมเจ้าลิง เพราะไม่เช่นนั้น องค์กรก็จะทุกข์ทรมานอย่างไม่มีที่สิ้นสุด

เราทุกคนเป็นทั้งนาย และเป็นทั้งผู้ปฏิบัติในเวลาเดียวกัน จึงควรนำข้อคิดจากนิทานมาปรับใช้ในการประพฤติปฏิบัติตน ทั้งในฐานะหัวหน้า และลูกน้อง หากทุกคนทำได้เช่นนี้ กรมบัญชีกลางก็จะเป็นองค์กรที่เข้มแข็งมากยิ่งๆ ขึ้น


21/4/57

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองตน ครองคน และครองงาน

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางลักษมี ประกอบกิจ
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองตน ครองคน และครองงาน

ศีล หมายถึง ข้อปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาที่กำหนดการปฏิบัติกาย และวาจา เช่น ศีล ๕ ศีล ๘ เพื่อรักษากายวาจา ให้เรียบร้อย
สมาธิ หมายถึง การตั้งมั่นแห่งจิต ความสำรวจใจให้แน่วแน่เพื่อให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ความฉลาด ความเข้าใจชัดในสิ่งต่างๆ เกิดจากการเรียนรู้ การใช้ความคิด การฝึกฝน

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองตน
 - ศีล ผู้ที่รักษาศีลอยู่เสมอจะเป็นผู้ที่มีหลักประกันให้กับตนเอง ทำให้ตนเองมีความปกติสุข มีความสันติในระดับพื้นฐาน อย่างน้อยคนเราควรรักษาศีล ๕ ข้อ คือ เว้นจากทำลายชีวิต เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากประพฤติผิดในกาม เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ทั้งนี้ เพื่อสร้างหลักประกันตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ประพฤติตนได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นเกิดความเชื่อถือในตัวเรา
 - สมาธิ ผู้ที่รู้จักพัฒนาจิต จนทำให้จิตมีสมาธิ มีสติ เกิดความสว่างไสวผุดขึ้นในใจ ก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง    ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิตว่าเป็นสัจธรรม สามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาและแก้ไขปัญหา  ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง เห็นทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริง ส่งผลให้ตนเองมีความสุข มีขวัญและกำลังใจในการดำรงชีวิตและทำงานต่อไป
 - ปัญญา ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักเหตุผล รู้จักฐานะของตนเอง และรู้จักประมาณตนเอง ไม่ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม จนเกิดทุกข์
ผู้ที่ดำรงตนประพฤติปฏิบัติตนด้วยความสำรวมระวังศีล ไม่หลงสยบอยู่ในอารมณ์ที่น่ารักน่ากำหนัดยินดี และไม่หลงเครียดแค้นชิงชังในอารมณ์ที่ไม่น่ารักก็จะมีสมาธิ และมีปัญญา ศีลเป็นเครื่องมือชำระปัญญาให้บริสุทธิ์ ทำให้ไม่มีดวงจิตริษยา มีจิตที่สงบ มีใจที่เมตตา มีทัศนคติที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพกาย สุขภาพใจดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ประสบแต่ความสุขและความเจริญก้าวหน้าตลอดไป

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองคน
 - ศีล ผู้ที่รักษาศีลนอกจากจะเป็นผู้มีหลักประกันชีวิตให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นผู้มีหลักประกันให้แก่ผู้อื่นด้วย เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในฐานะต่างๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ ศีลจะเป็นตัวช่วยให้เราไม่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบรังแกผู้อื่น ทำให้จิตปราศจากอคติ ทำให้เราเป็นผู้มีใจเมตตา รู้จักให้ความช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น เกื้อกูลกันในทางที่ชอบที่ควร
 - สมาธิ ผู้ที่พัฒนาจิตให้เป็นจิตบริสุทธิ์ สำรวจ แน่วแน่ ก็จะมีสติสัมปชัญญะ สามารถมองเห็นและเข้าใจในความแตกต่างทางกายภาพ ความคิด จิตใจ และพฤติกรรมของบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม จิตที่พัฒนาแล้วจะมีประโยชน์ต่อคนอื่น ทำให้มีทิฐิเสมอกัน สร้างความเข้าใจกันโดยง่ายไม่แตกแยกทางความคิด ทำให้ปัญหาสังคมน้อยลง
 - ปัญญา ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักวางตนให้เหมาะสมกับผู้อื่น รู้เขารู้เรา รู้จักกาลเทศะ สามารถบริหารคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสำรวมระวังศีล มีสมาธิ และมีปัญญา ก็จะเป็นที่รักใคร่ เป็นที่นับหน้าถือตา เป็น ที่น่าเชื่อถือแก่เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้บังคับบัญชา สามารถประพฤติตนให้เข้ากับสังคม ปฏิบัติตนให้เหมาะสมและรู้จักประมาณ คือทำให้พอดี ไม่ขาด ไม่เกิน รู้จักกาลเทศะ ฯลฯ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข ทำให้เกิดความรักสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ อันจะส่งผลให้สังคมสงบและเป็นสุข

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองงาน
- ศีล ผู้ที่มีศีลจะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสมอภาค ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และถือปฏิบัติตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอยู่เสมอ
- สมาธิ ผู้ที่มีสมาธิในการทำงาน จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รอบคอบ และถูกต้อง ไม่ถูกตำหนิ ติเตียน
-ปัญญา ผู้ที่มีความเพียรหาความรู้ เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา ความสามารถ และวิสัยทัศน์ให้มีความเฉียบคมและทันสมัยอยู่เสมอ จะเป็นผู้ที่มีผลงานที่ดี เป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป และจะได้รับการสนับสนุนให้มีความเจริญ ก้าวหน้าในหน้าที่การงานก่อนเสมอ
ผู้ที่ปฏิบัติงานด้วยความสำรวมระวังศีล มีสมาธิ และมีปัญญา จะประสบความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างยั่งยืน สำหรับบุคคลผู้ประพฤติผิดศีลก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานโดยชอบธรรมได้ และถึงแม้จะถึงความสำเร็จได้ก็ไม่จีรังยั่งยืน ต้องคอยหวาดระแวงกลัวใครจะมาเปิดโปงความประพฤติของตนเองตลอดเวลา

ดังนั้น ผู้มีศีล สมาธิ ปัญญาอยู่เสมอย่อมสามารถครองตน ครองคน และครองงาน ได้ตลอดกาล

หลักความพอเพียงกับการปฏิบัติราชการ

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางสาวชลธิชา นวลน้อย
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นิติกรชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักความรับผิดทางแพ่ง

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : หลักความพอเพียงกับการปฏิบัติราชการ
      มีคำกล่าวว่า “หนึ่งงานที่เราได้รับมอบหมายเท่ากับเราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นหนึ่งสิ่ง”   เราจึงสามารถแสวงหาความรู้ได้ในทุกที่ทุกโอกาสโดยไม่จำกัด และความรู้มิใช่มีเพียงสิ่งที่ศึกษาในชั้นเรียนหรือห้องอบรมเท่านั้น หากแต่ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมายภายนอก ในโลกนี้จึงไม่มีใครที่สามารถรู้ทุกสิ่งหรือเก่งทุกเรื่องแต่ละคนย่อมมีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านตามแต่ความสามารถในการแสวงหาความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาปรับใช้ในการดำรงชีวิต
     ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแสวงหาความรู้เพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐระดับกลาง (ระดับชำนาญการขึ้นไป) นอกเหนือจากการรับฟังคำบรรยายจากวิทยากรแล้ว ข้าพเจ้ายังได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงเรือนจำชั่วคราว เขากลิ้ง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินงานของศูนย์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้แก่นักโทษในการประกอบอาชีพภายหลังจากพ้นโทษแล้ว   อีกทั้งยังเป็นศูนย์ต้นแบบเพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่ รวมถึงผู้สนใจมาศึกษาดูงาน ที่น่าสนใจคือภายในศูนย์มีเจ้าหน้าที่เพียง ๘ คน แต่ต้องดูแลนักโทษเป็นจำนวนมากถึงร้อยกว่าคน โดยที่ผ่านมาไม่เคยมีประวัตินักโทษหนีหรือก่อเหตุเหมือนเช่นเรือนจำอื่นๆ นักโทษแต่ละคนจะได้เข้ารับการฝึกอาชีพตามความถนัดและสนใจ เช่น การสร้างบ้านดินซึ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้จริงและประหยัดพลังงาน การปลูกพืชผักปลอดสารพิษโดยใช้ธรรมชาติควบคุมธรรมชาติ การเลี้ยงสุกรแบบไม่มีกลิ่นเหม็น หรือที่เรียกว่า “หมูหลุม” เป็นต้น โดยที่นักโทษจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการขายเป็นรายได้ส่วนหนึ่ง ทำให้นักโทษบางรายแม้จะพ้นโทษแล้วแต่ก็ยังประสงค์ทำงานในศูนย์ดังกล่าวต่อไป เนื่องจากเป็นวิถีชิวิตที่สุข สงบ  หากมีผู้ตั้งคำถามว่า ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งอีกไม่นานในปี ๒๐๑๕ เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน เราจะปรับตัวเตรียมรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่า    การดำเนินชีวิตโดยใช้หลักความพอเพียงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด คนที่ใช้ชีวิตพอเพียงย่อมมีความมั่นใจในตนเอง  ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อการตรวจสอบ สามารถดำเนินชิวิตอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ คือ สุขภาพดี มีงาน มีทรัพย์จากความสุจริต พึ่งตนเองได้ มีศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับ ครอบครัวผาสุก มีความภูมิใจ มีปัญญาแก้ไขปัญหา มีความโล่งใจจากการ   ทำกรรมดี ไม่หวั่นไหวต่อความผันแปรของโลก และดำรงอยู่ด้วยปัญญา
                        หลักความพอเพียง ที่ควรนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิต คือ
                        ๑. มีศีล มีวินัย ประพฤติสุจริต
                        ๒. ได้สดับมาก ศึกษาอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่ตนเรียนรู้และใช้ได้จริง
                        ๓. รู้จักคบคนดี 
                        ๔. เป็นคนไม่ดื้อรั้น ดันทุรัง รับฟังข้อคิดเห็นของคนอื่น
                        ๕. เอาใจใส่ช่วยเหลือกิจธุระของผู้อื่นโดยเฉพาะชุมชนและสังคม
                        ๖. เป็นผู้รักในธรรมะ
                        ๗. มีความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อ
                        ๘. มีความพึงพอใจในผลงานและผลสำเร็จของตนซึ่งแสวงหามาด้วยความชอบธรรม ไม่มัวเมาทางวัตถุ
                        ๙. มีสติมั่นคง ไม่ประมาท
                        ๑๐. มีปัญญาเหนืออารมณ์

                        อริสโตเติล กล่าวว่า ความดีงามสูงสุดที่มนุษย์ต้องมี ได้แก่ ๑) ความรอบรู้ ๒) ความยุติธรรม ๓) ความพอประมาณ และ ๔) ความกล้าหาญในวิชาชีพ ดังนั้น ในฐานะนักกฎหมายและข้าราชการที่ต้องปฏิบัติราชการเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน จึงควรใช้หลักความพอเพียงในการดำรงชีวิต เพราะมนุษย์ผู้มีชีวิตที่พอเพียง มีความสุจริต เปิดเผย พร้อมที่จะให้ผู้อื่นตรวจสอบได้เสมอ ย่อมเป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์อยู่ในกฎเกณฑ์ มีหลักการ มีอุดมการณ์ นำไปสู่การพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้ดีขึ้น

การใช้ทัศนคติที่ดีเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นายอรุณ คาน
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ

หน่วยงาน :  สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการคลังและบัญชีภาครัฐ
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : การใช้ทัศนคติที่ดีเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง
                   จากหนังสือเรื่อง : WHO MOVED MY CHEESE? (ใครเอาเนยแข็งของฉันไป) เป็นที่กล่าวถึงในบ้านเรากว่าห้าปีก่อน ของนายแพทย์สเป็นเซอร์ จอห์สัน กล่าวถึงการปรับตัวตัวกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เรื่องมีอยู่ว่า
                        มีคนแคระและหนูจิ๋วรวม 4 ชีวิต วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตซึ่งสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง เพื่อแสะหาเนยแข็งอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ในนี้มีสองชีวิตเป็นหนู ตัวหนึ่งชื่อ สนิฟฟ์ กับ สเคอร์รี่ อีกสองชีวิตเป็นมนุษย์แคระชื่อ เฮ็ม กับ ฮอว์ ทั้งสี่ชีวิตใช้เวลาในแต่ละวันวิ่งหาเนยแข็งในเขาวงกตนั้น  เจ้าหนูสนิฟฟ์ และ สเคอร์รี่ ใช้วิธีลองผิดลองถูกไฟเรื่อยๆ โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง พวกมันจะจำทางที่ไม่มีเนยแข็งไว้ แล้ววิ่งไปทางอื่นจนถูกทาง ส่วนคนแคระเฮ็ม กับ ฮอว์ ก็ใช้ความรู้และประสบการณ์ในอดีตเข้าช่วย ในที่สุดทั้งสี่ชีวิต ได้พบกับคลังเนยแข็งขนาดใหญ่ ที่ดูเหมือนมีเนยเพียงพอที่ให้กินไปตลอดชีวิต พวกเขาได้พบแหล่งอาหารวิเศษที่แสนสะดวกสบายและไม่ต้องวิ่งตระเวนหาอีกต่อไป เวลาผ่านไปจนมาถึงเช้าวันหนึ่ง ทั้งสี่ชีวิต ได้พบว่าเนยแข็งกำลังจะหมดไป เจ้าสนิฟฟ์เห็นเช่นนั้นก็ไม่เสียเวลาวิเคราะห์ มันวิ่งหาเนยแข็งก้อนใหม่ทันที ส่วนเจ้าสเคอร์รี่ เห็นเช่นนั้นก็วิ่งตามโดยไม่รอช้า สนิฟฟ์ไปถึงไหนสเคอร์รี่ก็ไปที่นั่น ส่วนคนแคระเฮ็ม กับ ฮอว์ ไม่คาดมาก่อนว่าเนยแข็งจะหมดไป เฮ็มถึงกับตีโพยตีพายกล่าวโทษเทวดาฟ้าดินว่าไม่ยุติธรรมกับเขา แล้ววิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ว่าเนยแข็งจะกลับมาหาเขาอีก แต่ ฮอว์ ดูเหมือนจะยอมรับความจริงได้มากกว่า เขาเริ่มคิดว่าเขาควรทำการเปลี่ยนแปลง เขาจึงชวนเฮ็ม ให้ออกไปหาเนยแข็งใหม่แบบที่หนูทั้งสองกำลังทำอยู่ ปรากฏว่า เฮ็มไม่ยอมรับฟัง ฮอว์ จึงไปสู่เขาวงกตตามลำพัง และแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็ได้พบคลังเนยแข็งแห่งใหม่ที่ดีและใหญ่กว่าเดิม ฮอว์แม้จะออกมาช้ากว่าเจ้าหนูทั้งสอง แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบคลังเนยแข็งใหม่เช่นกัน เขาจึงชวนแฮมให้ออกมาจากสถานที่ที่ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่ แต่แฮมกลับปฏิเสธ ทั้งยังไม่ยอมรับเนยแข็งที่ ฮอว์ อุตส่าห์เอาไปฝาก  ฮอว์จึงจำเป็นต้องปล่อยเพื่อนไว้เช่นนั้น ระหว่างที่ฮอว์ ออกมาเผชิญโชคครั้งใหม่ ความคิดเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปที่ละน้อย เขาสรุปสัจธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงไป โดยเขียนไว้บนกำแพงเป็นระยะๆ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณอาจสูญพันธ์ ฮอว์สุขสบายในคลังเนยแข็งแห่งใหม่ แต่ก็ยังคิดและหวังว่า เฮ็มเพื่อนรักจะตามมาตามลายแทง และข้อคิดที่เขาบอกทางไว้ให้ แล้ววันหนึ่งฮอว์ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากทางเดินข้างนอก นั่นอาจเป็นแฮมก็ได้ใครจะรู้  ทั้งสี่ชีวิตเป็นตัวแทนแห่งสัญชาตญาณ และความคิดในการตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง  สนิฟฟ์เป็นผู้ดมกลิ่นเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใครจึงน่าออกไปก่อน สเคอร์รี่ไม่คิดอะไรเลยวิ่งตามกระแสอย่างเดียว  เฮ็มเป็นผู้ปฏิเสธต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏโฉมในทางเลว  มากมายกว่าเดิม  ส่วนฮอว์เป็นคนเรียนรู้และปรับตัวตามยุคสมัย เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า  ในโลกแห่งการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย นิทานเรื่องนี้อาจให้แง่คิดที่เตือนให้ผู้คนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด                      
                                   
                        ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกได้ วิธีที่ดีที่สุดกับการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง คือ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด (ตอนท้ายของนิทาน) สิ่งที่ต้องมีประกระการแรกคือ มีทัศนคติที่ดีต่อการเปลี่ยน เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาส  แต่การปรับเปลี่ยนทัศนคติไม่ใช่เรื่องง่าย โดยพื้นฐานทัศนคติที่ไม่ดีเกิดจากเกิดจากการขาดความรู้ แล้วตามมาด้วยความกลัว หากไม่แก้ไขนานๆเข้าก็กลายเป็นอคติ  การออกจากอคติจึงต้องเริ่มจากความกล้าหาญ กล้าหาญที่ต้องต่อสู้กับตัวเองเป็นอันดับแรก  ตัวอย่างง่ายๆที่กระทบกับชีวิตการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันของเราคือการนำระบบ IT มาใช้ในชีวิตการทำงานหรือชีวิตประจำวัน  ประการแรกควรเริ่มปรับความคิดก่อนว่า ITเป็นเพียงเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น มันคือผู้รับใช้เรา มันไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิด อย่ากลัวหรืออายที่จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ทันสมัย หากไม่รู้ก็ต้องเรียนรู้ ซึ่งปัจจุบันมีช่องทางการเรียนรู้อย่างมากมาย เช่น ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนร่วมโดยเฉพาะผู้รวมงานรุ่นใหม่ หากนำมาใช้แล้วจะเห็นประโยชน์อย่างมหาศาล อย่างไรก็ดี ควรใช้อย่างฉลาดและมีสติ รักษาความสมดุลของชีวิต
                        จะเห็นได้ว่าการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าในทางบวกหรือลบ ต้องใช้ทัศนคติที่เป็นบวกเสมอ (ATTITUDE Is A Little Ting THAT MAKE A BIG Differeance

14/4/57

หลักการครองตน ครองคน ครองงาน

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ : นายชินภัทร   ปัญยารชุน
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง : ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ปี พ.ศ. 2546
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  : เจ้าพนักงานพิมพ์ดีด
หน่วยงาน : สำนักงานเลขานุการกรม

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน :  หลักการครองตน ครองคน ครองงาน

การครองตน  การบริหารตนเอง จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีมีคุณค่าต่อสังคม เป็นแบบอย่างที่ดี สามารถนำหมู่ชน และสังคมไปสู่ความสันติสุข น่าเคารพนับถือ ไม่ทำให้ผู้อื่นความเดือนร้อน คิดดีทำดีใจก็เป็นสุข เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม มีความวิริยะ อุตสาหะ  ในงานหน้าที่ความรับผิดชอบ และมีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จด้วยการ มีความอดทนไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค  รู้หลักการเหตุผลและกฎเกณฑ์ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิต เข้าใจในสิ่งที่ตนจะประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ และภารกิจต่างๆ  ตำแหน่งหน้าที่  ฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ  แต่ความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน และความมีคุณธรรมจึงจะถือว่าเป็นการครองตนและเป็นแบบอย่างต่อผู้อื่นได้รู้จักใช้จ่ายตามควรแห่งฐานะเพื่อสร้างฐานะตนเองและครอบครัว  เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และกำลังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่ยังขาดสิทธิพึงตนที่พึ่งได้ มีความซื่อสัตย์ สุจริตต่อตนเอง และผู้อื่น ส่งเสริม สนับสนุนระบบประชาธิปไตย ทำงานโดยมีเป้าหมายส่วนรวม
การครองคน  การจัดงานให้ตามกำลังคือมอบหมายหน้าที่การงานให้ตามกำลังความรู้สติปัญญา ความสามารถ รู้จักใช้คนให้ถูก กับงาน การให้บำเหน็จรางวัล เมื่อทำดี ก็รู้จักยกย่องชมเชย สนับสนุน อุดหนุน ให้ได้รับบำเหน็จรางวัล เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งตามสมควรแก่ฐานะการมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น กล้าและรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำมี น้ำใจ ช่วยเหลือ และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน ความสามารถในการร่วมทำงานเป็นกลุ่ม สามารถจูงใจให้เกิดการยอมรับและให้ความช่วยเหลือ มีความสามารถในด้านองค์ความรู้และทักษะในการในการคิดและเสนอเหตุผล ให้บริการแก่ผู้มาติดต่องานด้วยอัธยาศัยที่ดี ยิ้มแย้มด้วยไมตรีจิต มีความสำนึกและถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องให้บริการ ช่วยเหลือ แนะนำในสิ่งที่ดี ตลอดจนให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ให้การบริการด้วยความเต็มใจ
การครองงาน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ใฝ่ศึกษา ค้นคว้า มีความตั้งใจปฏิบัติงานให้ได้รับความสำเร็จ สนใจและเอาใจใส่งานที่รับผิดชอบ สามารถในการคิดริเริ่ม หาหลักการ แนวทาง วิธีการใหม่ ๆ มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงาน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถทำงานที่ยาก หรืองานใหม่ให้สำเร็จเป็นผลดี ความพากเพียรในการทำงาน และมีผลงานที่เป็นที่น่าพอใจ การคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม กำลังใจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำงาน โดยเฉพาะงานที่มีความ ซับซ้อน ยุ่งยาก ใช้เวลามาก ต้องมีคนให้กำลังใจให้แรงสนับสนุนถึงจะสำเร็จลงได้ในผลตอบแทนที่ได้จากงานที่ทำประสบความสำเร็จ
สรุปได้ว่า บุคคลทำงานอาชีพมีเป้าหมายของการทำงานเพื่อให้ตนเองและบุคคลอื่นที่อยู่ในสังคม เกิดความสุขทุก ๆ ด้านตามความต้องการของมนุษย์

14/3/57

เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในชีวิต

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางสาวพัชชา ปึงเจริญ
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๔๕
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นิติกรชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักมาตรฐานค่าตอบแทนและสวัสดิการ  


ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน :   เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในชีวิต
          ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจในชีวิต น้อยกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรือกำลังจะเกิดขึ้น วันนั้นอาการที่แสดงออกมาคือ เบื่อ เซ็ง ขี้เกียจ ท้อแท้ ฯลฯ เปรียบเหมือนกับการที่เราขับรถยนต์ขึ้นภูเขา ถ้าวันไหนต้องขับขึ้นภูเขาที่สูงชันมากเกินกว่ากำลังเครื่องยนต์ของเราจะสู้ได้ วันนั้น รถยนต์ของเราก็คงจะหยุดอยู่กับที่หรือไม่ก็ลื่นไถลตกลงมาสู่ที่ต่ำ ถ้าวันไหนเรามีแรงจูงใจหรือกำลังใจ มากกว่าปัญหาอุปสรรคที่เกิดขึ้นหรืออาจจะเกิดขึ้น วันนั้น อาการที่เราแสดงออกคือ สนุก ขยัน แรงฮึดเยอะ ไม่กลัว กล้าทำ กล้าลุย กล้าเสี่ยง ฯลฯ เปรียบเสมือนกับการที่เราขับรถยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์แรงมากหรือเหมือนขับรถโฟวีลที่สามารถขับขึ้นภูเขา    ลูกไหนก็ได้ ลุยกับสภาพถนนแบบไหนก็ได้
          แรงจูงใจมีอยู่ในตัวคนเราอย่างไม่จำกัด แต่ข้อจำกัดอยู่ที่ใจของเราเองที่ไปจำกัดว่าเราไม่มี เราไม่ไหว   เราไม่สู้ เช่น เวลาตื่นนอนตอนเช้าถ้าวันไหนเรารู้สึกเบื่อ ท้อ ขี้เกียจ การที่จะลุกขึ้นออกจากเตียงยังยากเลย แทบจะไม่มีแรงต่อสู้กับแรงดึงดูดของเตียง แต่ถ้าวันไหนมีไฟกำลังไหม้บ้าน (แรงผลักที่เกิดจากความกลัว) หรือ เราต้องไปขึ้นเครื่องบินไปเที่ยวต่างประเทศ (แรงดึงที่เกิดจากความอยาก) เราสามารถตื่นและลุกออกจากเตียงได้โดยไม่ต้องลังเล เราสามารถชนะแรงดึงดูดของเตียงนอนได้อย่างง่ายดาย สิ่งเหล่านี้แสดงว่าในความเป็นจริงแล้ว ศักยภาพในตัวเรามีอยู่อย่างไม่จำกัด ขึ้นอยู่กับว่าเรามีสิ่งกระตุ้น (ความอยากและความกลัว) และเทคนิควิธีการ   ในการฉุดดึงเอาแรงจูงใจออกใช้ได้มากน้อยเพียงใดเท่านั้น
          เพื่อให้ชีวิตของเรามีแรงขับเคลื่อนที่มากพอและต่อเนื่อง เทคนิคการสร้างแรงจูงใจจาก 2 แหล่งดังนี้

          1. การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอดีต

             ชีวิตคนหนึ่งคน คือ ภาพยนตร์หนึ่งเรื่องที่ถ่ายเก็บไว้ตั้งแต่เกิด แต่ไม่ค่อยมีใครนำมาเปิดใช้ในระหว่างทางของชีวิต ส่วนใหญ่จะเปิดกันก็ต่อเมื่อเข้าสู่บั้นปลายของชีวิต เข้าข่ายที่ว่าคนแก่ชอบเล่าเรื่องเก่าเพราะชีวิตของคนกลุ่มนี้ไม่มีอนาคตแล้ว พลังที่จะช่วยให้ชีวิตของเรายังคงอยู่ต่อไปได้คือกำลังใจจากเรื่องราวในอดีตที่รู้สึกภูมิใจ เล่ากี่ครั้งกี่หนก็ไม่เคยเบื่อ (แต่คนฟังเบื่อไปหลายรอบแล้ว) ถ้าเรายังไม่แก่ ขอแนะนำว่าควรจะนำเอาเรื่องเก่าทั้งที่เป็นจุดด้อยและความภูมิใจในชีวิตที่ผ่านมา มาสร้างกำลังใจให้กับตัวเอง เมื่อไหร่ที่นึกถึงความยากลำบากในชีวิตที่ผ่านมาก็จะทำให้เราเกิดพลังที่จะขับเคลื่อนตัวเองให้หลุดพ้นจากสภาพที่เราเคยลำบากมาก่อน  ในขณะเดียวกันถ้าเรานึกถึงเรื่องที่เราภูมิใจ อาจจะเป็นความสำเร็จในชีวิตที่ผ่าน ก็เท่ากับว่าเราได้ชาร์ตไฟให้กับตัวเองด้วยความภูมิใจในอดีตของตัวเราเอง การสร้างแรงจูงใจจากอดีต ถือเป็นเทคนิคการสร้างแรงจูงใจแบบผลักดัน ให้ชีวิตเราเดินไปข้างหน้า ด้วยเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เหมือนกับการที่เราเข็นรถยนต์ที่จอดอยู่จากด้านหลังของรถนั่นเอง ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอดีต 
1.ใครเบื่อพ่อแม่ขอให้นึกถึงตอนที่เราเจ็บไข้ไม่สบายตอนเด็กๆ ใครเป็นคนเฝ้าดูแลเอาใจใส่เราตลอดเวลา
2.ใครเบื่องานขอให้นึกถึงวันเริ่มงานวันแรก
3.ใครเบื่อสามีหรือภรรยาให้นึกถึงวันที่แต่งงาน
4.ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่คลอดลูกหรือไปรอหน้าห้องคลอด
5.ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่เราเคยไปหลงป่าอยู่คนเดียว หรือวันที่เราต้องอยู่บ้านเดียว
6.ใครเบื่อตัวเองให้นึกถึงวันที่เราเคยให้คำปรึกษาผู้อื่น
2. การสร้างแรงจูงใจ...จากเรื่องราวในอนาคต
    คนบางคน ในบางเวลา เรื่องราวในอดีตอาจจะช่วยสร้างแรงจูงใจให้ไม่ได้ อาจจะเป็นเรื่องในอดีต มีแต่เรื่องที่ช่วยฉุดแรงจูงใจให้ต่ำลงไปอีก จึงขอแนะนำให้ใช้เทคนิคสร้างแรงจูงใจโดยใช้เรื่องราว เหตุการณ์ ในอนาคตมาหลอกล่อหรือดึงดูดใจ การสร้างแรงจูงใจในชีวิตเปรียบเสมือน การที่เราเข็นรถชีวิตที่จอดอยู่นิ่ง ๆ ถ้าไม่สามารถเข็นจากด้านหลังได้ ก็อาจจะต้องใช้วิธีการดึงจากข้างหน้า หรือไม่ก็อาจจะต้องใช้ทั้งสองทางรวมกัน(ทั้งดึงและดัน)
                      สำหรับการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต เป็นการหลอกตัวเองให้วิ่งไล่จับความฝัน หลอกตัวเองให้กลัวการสูญเสียบางสิ่งบางอย่างในอนาคตไป เป็นการป้องกันคำว่าเสียดายในชีวิต เพราะคนหลายคน มักจะเกิดคำว่าเสียดายในหลายเรื่อง เนื่องจากมาคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว วิธีการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราว ในอนาคตเป็นการซ้อมคิดหาคำว่าเสียดายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต แล้วนำเอาความรู้สึกเสียดายนั้นๆ มาใช้ในการสร้างแรงจูงใจ ตัวอย่างเทคนิคการสร้างแรงจูงใจจากเรื่องราวในอนาคต
-ใครเบื่อพ่อแม่ขอให้นึกถึงวันสุดท้ายที่ท่านจากเราไป
-ใครเบื่องานขอให้นึกถึงวันที่เขาจะให้เราออกจากงานหรือวันที่เราจะได้รับการเลื่อนตำแหน่ง
-ใครเบื่อสามีหรือภรรยาให้นึกถึงวันที่เขาจากเราไป
-ใครเบื่อลูกให้นึกถึงวันที่ลูกประสบความสำเร็จ
-ใครเบื่อคนรอบข้างให้นึกถึงวันที่คนเหล่านั้นมาร่วมแสดงความยินดีกับความสำเร็จของเรา
-ใครเบื่อตัวเองให้นึกถึงวันที่เราจะประสบความสำเร็จ

สรุป แรงจูงใจไม่ต้องไปซื้อหาหรือหยิบยืมใครที่ไหน มันอยู่ในตัวของเราอยู่แล้ว เพียงแต่เราจะมีเทคนิควิธีการในการดึงมันขึ้นมาใช้ได้อย่างไร สำหรับเทคนิคที่แนะนำไปนั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ผู้อ่านหลายท่านอาจจะมีเทคนิคเฉพาะของตัวเองอีกหลายวิธี ขอให้ลองฝึกดึงพลังภายในโดยการสร้างกำลังใจให้กับตัวเองบ่อยๆ รับรองได้ว่าชีวิตนี้ไม่มีวันหมด กำลังใจอย่างแน่นอน

ที่มา : www.peoplevalue.co.th

ข้าราชการที่ดีควรปฏิบัติอย่างไร

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางสาวนนทลี ศรีมโน
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. 2544
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  เจ้าพนักงานการเงินและบัญชีชำนาญงาน
หน่วยงาน :  สำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : ข้าราชการที่ดีควรปฏิบัติอย่างไร

          ข้าราชการ คือ ผู้ปฏิบัติงาน หรือผู้บริหารงานของแผ่นดิน
          ข้าราชการที่ดี ควรมุ่งมั่นปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด เป็นผู้ให้บริการประชาชน โดยยึดมั่นในหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด มีจิตสำนึกตระหนักในความรับผิดชอบที่มีอยู่อย่างเข็มแข็ง สุจริต สื่อสัตย์ และโปร่งใส ข้าราชการควรเป็นต้นแบบและแกนหลักในการสร้างสรรค์และพัฒนาประเทศ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ดังนั้น ข้าราชการที่ดีควรมีแนวทางในการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพและประโยชน์ของส่วนรวม ดังนี้
            1. ทำในสิ่งที่ถูกต้อง หมายถึง ยึดมั่นในความถูกต้อง ดีงาม ชอบธรรม เสียสละ อดทน ยึดมั่นในหลักวิชาและจรรยาบรรณของข้าราชการ และไม่ยอมให้อิทธิพลใด ๆ มาบีบบังคับ
            2. ซื่อสัตย์ และมีความรับผิดชอบ หมายถึง ปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนเองด้วยความตรงไปตรงมา มีหลักธรรม โดยแยกเรื่องส่วนตัวออกจากหน้าที่การงาน มีความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง และต่อประชาชน ตลอดจนต่อองค์กร เพื่อการพัฒนาประเทศชาติ
            3. โปร่งใส ตรวจสอบได้ หมายถึง ปรับปรุงการทำงานขององค์กรให้มีความโปร่งใส ถูกต้อง เปิดเผย ประชาชนสามารถตรวจสอบได้
            4. ไม่เลือกปฏิบัติ หมายถึง ให้บริการไม่ว่าจะเป็นส่วนราชการด้วยกัน หรือประชาชน ต้องเป็นไปด้วยความเสมอภาค โดยปฏิบัติต่อผู้มารับบริการด้วยความมีน้ำใจ และเอื้อเฟื้อ
            5. มุ่งผลสัมฤทธิ์ของงาน หมายถึง ทำงานในหน้าที่ให้แล้วเสร็จตามกำหนด เกิดประสิทธิภาพและผลดีต่อองค์กรและต่อส่วนรวม ใช้ทรัพยากรของทางราชการให้เกิดความคุ้มค่าเสมือนใช้ทรัพยากรของตนเอง โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของงานเป็นหลัก


สรุป หากข้าราชการไทยสามารถปฏิบัติทั้งงานในหน้าที่และงานของส่วนรวมได้ตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้น จะก่อให้เกิดประโยชน์ทั้งตนเองและประเทศชาติ

13/3/57

เก่งตน เก่งคน เก่งงาน

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางปานทิพย์ วิทยประพัฒน์
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๔๑
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  เจ้าพนักงานการคลังชำนาญงาน
หน่วยงาน :  ส่วนบริหารการจ่ายเงิน ๒

       ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : เก่งตน   เก่งคน   เก่งงาน
           การเป็นคนเก่ง ไม่ใช่ความโชคดี แต่อยู่ที่การฝึกฝน ขัดเกลาสมอง มองโลกในแง่ดี และทำทุกสิ่งอย่างเต็มกำลัง ด้วย
รอยยิ้ม และความเบิกบาน  ทำตัวให้สดชื่น  มีชีวิตชีวาและกระตือรือร้นอยู่เสมอ  พร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์จะช่วย
ให้สามารถที่จะจัดการกับทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาได้เป็นอย่างดี  มีความมั่นใจ ตั้งใจจริง ที่จะพาตัวเองไปสู่จุดหมาย และมองหา
ผู้ที่เราชื่นชม   เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี ในการดำเนินรอยตามแนวคิด วิธีการทำงาน  มองจุดเด่นในตัวเขามาปรับใช้ให้ชีวิตก้าวสู่ความสำเร็จ
           เก่งตน   ความเก่งอันดับแรก  ขอให้มีความชำนาญด้านใดด้านหนึ่งเป็นอย่างน้อย  จากนั้นต้องศึกษาหาความรู้อยู่ตลอดเวลา  พร้อมทั้งพัฒนาตนเอง  การแสดงออกลักษณะเข้มแข็ง แต่ไม่แข็งกระด้าง   อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ  แต่งกายให้
เหมาะสมกับกาลเทศะ  การพูด พูดแต่งสิ่งที่ดี และมีประโยชน์  คิดก่อนพูด   เพื่อเป็นที่รักใคร่ชอบพอแก่ทุก ๆ ฝ่ายที่ได้ยิน
ได้ฟัง  มีความมั่นใจ  ความจริงใจ  กระตือรือร้น  มีความมานะพยายาม  ซื่อสัตย์สุจริต มีเหตุผล และมีความคิดสร้างสรรค์
           เก่งคน  ทำตัวให้เป็นที่รักใคร่ชอบพอกับทุกฝ่าย  มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงาน  ปฏิบัติตนให้อยู่ในระเบียบ วินัย
และจริยธรรม  การทำงานเป็นทีม  แสดงถึงมีความสามารถทำงานกับผู้อื่นได้  ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์กับตนเอง และองค์กร  แม้ว่าตัวเองไม่ได้เก่งไปทุกอย่างแต่ถ้ารู้จักได้ใจผู้อื่นแล้ว  ก็จะได้ผู้ที่เก่งด้านอื่นมาร่วมทำงานให้สำเร็จลุล่วง  ได้เป็นอย่างดี
            เก่งงาน  คนเก่งงานไม่จำเป็นต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละหน้าที่  แต่ต้องรู้ถึงความสำคัญของงาน ขอบเขตหน้าที่
ความรับผิดชอบ  มีใจให้กับงาน  ศึกษาและทำความเข้าใจงานนั้น  ว่าจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมขององค์กรอย่างไร   ทำอย่างไรให้สู่เป้าหมายความสำเร็จ  ไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรค  ช่วยเสนอความคิดเห็น ให้คำแนะนำเพื่อขจัดปัญหาต่าง ๆ
           คนที่มีรอยยิ้ม  เสมือนประตูที่เปิดกว้างให้ใคร ๆ อยากเข้ามาคบหา ด้วยการเจรจาติดต่องาน  ก็มักจะราบรื่นสำเร็จ รอยยิ้ม และเสียงหัวเราะ จะสร้างความเบิกบาน และคลายทุกข์  การทำสิ่งใดแล้วยังไม่สำเร็จอย่างที่หวังไว้ เพียงแต่ขอให้ทำเต็มที่ และเปิดใจให้กว้าง ยอมรับความจริง แล้วหันมาทบทวนดูว่ามีสิ่งใดที่ผิดพลาดไป เพื่อที่จะเริ่มต้นใหม่ให้ดีกว่าเดิม และถึงแม้จะประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานแล้วอย่าลืมมองมาที่ครอบครัว และ คนรอบข้างด้วย  อย่าทำงานจนลืมพวกเขาและไม่ลืมที่จะมีเวลาให้กับเพื่อนสนิทบ้าง
                       

พลังใจ พลังกาย และพลังในงาน

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางสาวประเทืองทิพย์ ธีรเวชเจริญชัย
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. 2540
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  คลังจังหวัดสุโขทัย
หน่วยงาน :  สำนักงานคลังจังหวัดสุโขทัย
  ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : พลังใจ พลังกาย และพลังในงาน  
         
พลังใจ: ใจที่ถูกฝึกให้คิดและมองข้อดีของผู้อื่น ทำให้มีพลังใจในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
     ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2534 ข้าพเจ้าไปดำรงตำแหน่งนักวิชาการคลัง หัวหน้าฝ่ายของข้าพเจ้าในสมัยนั้น ให้คำแนะนำด้วยการมอบหนังสือให้เล่มหนึ่ง เมื่อข้าพเจ้าพลิกอ่านดู เป็นหนังสือของหลวงวิจิตรวาทการ ซึ่งสาระของหนังสือเล่มนี้สรุปได้ว่า คนส่วนใหญ่มักจะติดยึดกับการมองข้อเสียของคนอื่นแทนการมองข้อดีของผู้อื่น และสอนให้เปลี่ยนมุมมอง โดยมองข้อดีของผู้อื่น แล้วนำมาพิจารณาเติมเต็มในส่วนที่เรายังขาดอยู่  หนังสือเล่มนี้สอนให้ข้าพเจ้าฝึกใจให้มองข้อดีของผู้อื่น จากวันนั้นถึงวันนี้ ข้าพเจ้ามองเห็นข้อดีและคำแนะนำที่ดีมากมาย ตัวอย่างเช่น
 1.การทำงานแบบเป็นระบบ โดยมองภาพใหญ่ของทั้งชิ้นงานก่อน แล้วนำมาแยกทำในรายละเอียดเป็นส่วนๆ ตามเจ้าภาพในการทำงาน ก่อนที่จะนำงานมาประกบเชื่อมโยงกันเป็นภาพใหญ่ที่ทำเสร็จแล้ว
  2.คุณธรรมในข้าราชการ : รับราชการผลตอบแทนน้อย ขอให้คิดว่า เรามาทำงานเพื่อตอบแทนคุณของแผ่นดิน
   ใจที่ถูกฝึกให้คิดและมองข้อดีของผู้อื่น ทำให้มีพลังใจในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

พลังกาย: กายที่ถูกฝึกให้ทำงานที่ยากและมากกว่าคนอื่น
        ข้าพเจ้ารับทราบจากหัวหน้าฝ่ายในสมัยนั้นว่า ตั้งใจฝึกให้ข้าพเจ้าทำงานที่ยากและมากกว่าคนอื่น ประเด็นที่เห็นชัดเจน คือ ข้าพเจ้าถูกมอบหมายให้ทำงาน 2 ที่ในคราวเดียวกัน โดยทำงานแทนข้าราชการที่ลาคลอดบุตร ถึง 2 ราย ซ้อนต่อเนื่องกัน กายที่ถูกฝึกให้ทำงานที่ยากและมากกว่าคนอื่น ทำให้ข้าพเจ้ามีโอกาสในการสะสมประสบการณ์ในการทำงานที่หลากหลาย ภายใต้สภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน ส่งผลให้มีความพร้อมกับการทำงานในด้านต่างๆ มากขึ้น

พลังในงาน: ความพร้อมในการทำงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์
       พลังใจและพลังกายที่ถูกฝึก ส่งผลให้มีความพร้อมทั้งด้านร่างกายและจิตใจในการทำงานทั้งงานประจำ (Routine) และงานคิดพัฒนา (Create) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการผลักดันผลผลิต (output) และผลลัพธ์ (outcome) ของกรมฯ
จากข้อมูลข้างต้น พลังใจในการเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พลังกายในการทำงานที่ยากและมากกว่าคนอื่น และพลังในงานที่มุ่งผลสัมฤทธิ์ที่หล่อหลอมจากการเป็นส่วนหนึ่งของกรมบัญชีกลาง จนถึงวันนี้ข้าพเจ้าขอขอบคุณ ผู้บังคับบัญชาทุกท่าน ทั้งในอดีตและปัจจุบัน ที่คอยชี้แนะและสั่งสอน ขอบคุณกรมบัญชีกลางที่ให้โอกาสได้มาเป็นส่วนหนึ่งของกรมบัญชีกลาง ข้าพเจ้าจะสร้างสมและรวม 3 พลังดังกล่าวเพื่อกรมบัญชีกลางต่อไป
ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่า ที่ข้าพเจ้ากล่าวมาทั้งหมดเป็นเพียงพลังส่วนหนึ่งของท่านผู้อ่านที่มีต่อกรมบัญชีกลางเฉกเช่นเดียวกัน  

ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเดินทางสายกลางในการดำเนินชีวิต

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :
นางสาวธัญพร   (ชื่อเดิม ดวงพร)  พุทธรังษี
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ปี พ.ศ. 2548
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  พนักงานพิมพ์
หน่วยงาน :  กองการเจ้าหน้าที่

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : ยึดหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเดินทางสายกลางในการดำเนินชีวิต

เราเกิดมาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวในโลก เรามีบิดา มารดา พี่น้อง และเพื่อน ๆ รวมทั้งเพื่อนร่วมงาน ซึ่งเป็นบุคคลรอบข้าง เราจึงต้องมีน้ำใจโอบอ้อมอารี นึกถึงจิตใจของเขา เอาใจเขามาใส่ใจเราบ้าง มีน้ำใจช่วยเหลือ  ให้ความร่วมมือกับกิจกรรมของส่วนรวม ให้ความเคารพผู้บังคับบัญชา ให้ความสำคัญกับทุกๆ คน เดินทางสายกลาง ปฏิบัติตนอยู่ในกรอบศีลธรรม และกฎ ระเบียบ ของสังคม ดูแลสุขภาพตนเอง แต่งกายสะอาด ออกกำลังกายบ้างตามสมควร คำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าส่วนตน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง พอใจในสิ่งที่เรามีและใช้ให้พอดีตามคำสอนของพ่อหลวงของเรา มีความซื่อสัตย์ทั้งต่อตนเองและผู้อื่น ขยัน อดทน มีความรับผิดชอบต่องาน โดยปฏิบัติงานในหน้าที่และที่ได้รับมอบหมายให้สำเร็จลุล่วงทันเวลาตามความต้องการของผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงาน