21/5/58

เทคนิคในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ


ผู้แบ่งปันความรู้ประสบการณ์ : นางสาวสายฝน  โชชัย
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๗         
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นิติกรชำนาญการ
หน่วยงาน :   สำนักความรับผิดทางแพ่ง                         
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : เทคนิคในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ
ในการทำงานเราต้องพบปะกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา
เพื่อนร่วมงาน ผู้มาติดต่อ เพราะฉะนั้นการวางตัวและการปฏิบัติตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ที่จะช่วยให้เราปฏิบัติงานได้อย่างราบรื่นและเป็นที่พอใจของบุคคลต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา
 สิ่งที่ควรปฏิบัติในการทำงาน
 1.การทำตัวให้เป็นคนงานที่ดี ในการทำงานนั้นเราจะต้องรู้จักหน้าที่และมีความรับผิดชอบ ขยัน และขวนขวายแสวงหาความรู้อยู่เสมอ ทำตัวให้เป็นที่รักของผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา
 2.การรักษามารยาทและระเบียบในที่ทำงาน การปฏิบัติงานโดยยึดถือระเบียบ เคารพกฎ กติกามารยาทจะช่วยให้สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่นได้อย่างราบรื่น และทำให้การทำงานเกิดประสิทธิภาพ
 3.การสร้างบรรยากาศสดใสในที่ทำงาน การช่วยกันสร้างบรรยากาศที่สดใส เอื้ออาทร สามัคคีในที่ทำงาน จะช่วยทำให้เกิดรอยยิ้มในที่ทำงาน ทำให้เกิดความสุขและประสิทธิภาพในการทำงาน
 4.การสร้างสัมพันธภาพที่ดี การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ทั้งในระดับผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชา จะช่วยให้การทำงานเป็นไปอย่างราบรื่นเกิดการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพในการทำงาน
การทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ
ในการทำงานจะต้องมีการวางแผนให้เป็นระบบ และทำงานอย่างชาญฉลาด เป็นการทำงานโดยมีการวางแผนไว้ล่วงหน้า เพื่อทำงานให้มีคุณค่ามากที่สุด โดยมีหลักของการบริหารดังนี้
 1.การบริหารเวลา
 2.การบริหารงาน
 3.การบริหารคน
การบริหารเวลา คือ การกำหนดเวลาทำงานแต่ละอย่างแต่ละชิ้นไว้ล่วงหน้าในแต่ละวัน ฉะนั้นต้องมีแพลนนิ่งที่ดี ซึ่งเป็นเหมือนปฏิทินลงบันทึกประจำวัน เพื่อเตือนความจำไว้ล่วงหน้า อันจะนำพาให้งานบรรลุเป้าหมายตามที่
ตั้งไว้
การบริหารงาน คือการจัดสรรความสำคัญ ลำดับเวลาของการทำงาน อันไหนควรทำก่อน อันไหนควรทำทีหลัง งานไหนควรทำเอง และอันไหนควรให้ผู้อื่นทำ และควรมอบงานให้กับใครทำ ซึ่งสามารถแบ่งงานได้ 4 ประเภท ได้แก่
 1.งานสำคัญและเร่งด่วน เป็นงานที่ควรทำทันที
 2.งานสำคัญ แต่ไม่ด่วน
 3.งานด่วน แต่ไม่สำคัญ
 4.งานทั่วไป เป็นงานไม่สำคัญและไม่เร่งด่วน
การบริหารคน คือการสร้างสื่อสายสัมพันธ์ การบริหารคนที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ เช่น การกระตุ้นให้กำลังใจ สร้างพลังในการทำงาน การควบคุมดูแล การเอาใจใส่ทีมงานอย่างใกล้ชิด ด้วยจิตไมตรีและจริงใจต่อกัน
สรุป
เทคนิคในการทำงานที่มีประสิทธิภาพที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ อาจเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยทำให้
การปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพและประสบความสำเร็จ



 

24/4/58

การปฏิบัติงานและการดำรงชีวิต

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นายทองใจ ปัญญาราช
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๓
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  พนักงานขับรถยนต์
หน่วยงาน :  สำนักงานคลังเขต 5

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : การปฏิบัติงานและการดำรงชีวิต

แนวทางการปฏิบัติงาน
1.การปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับบัญชา
ทำหน้าที่ให้ดี ซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ ซื่อตรงต่อเวลา และปฏิบัติหน้าที่ให้ดีเท่าที่จะทำได้
2.การปฏิบัติหน้าที่ที่รับผิดชอบอยู่ตำแหน่งพนักงานขับรถยนต์
ดูแลบำรุงรักษารถยนต์ ตามรอบระยะเวลา เพื่อให้รถยนต์อยู่ในสภาพที่ดี ดูแลตรวจเช็ครถยนต์ทางราชการทุกคัน ให้พร้อมที่จะใช้ปฏิบัติงานตลอดเวลา ดูแลทำความสะอาดและความเรียบร้อย
ของรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ และขับรถยนต์ด้วยความระมัดระวัง เพื่อความปลอดภัยของทรัพย์สินของ
ทางราชการและบุคลากรอื่น

แนวทางการดำรงชีวิต
1.การปฏิบัติหน้าที่ด้านครอบครัว
การดำรงชีวิตประจำวัน ใช้จ่ายเงินอย่างประหยัด จ่ายอย่างพอเพียง เก็บออมเงิน แม่บ้าน
มีอาชีพค้าขาย ส่วนตัวคอยช่วยเหลือครอบครัวค้าขายเพื่อหารายได้มาช่วยครอบครัวอีกทางหนึ่ง โดยทุกเช้าจะช่วยซื้อของและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อมาทำขนม ช่วยส่งขนมตามร้าน หลังจากเลิกงานช่วยทำขนม
วันเสาร์-อาทิตย์ จะนำขนมที่ทำไปขายที่ถนนคนเดิน และส่งตามร้านต่าง ๆ ไม่ดื่มสุรา ไม่เล่นการพนัน
ไม่เกี่ยวข้องกับอบายมุขใด ๆ และได้อบรมสั่งสอนลูกให้เป็นคนดีของสังคมตลอดไป
2.การปฏิบัติตนเอง
ไม่ตีตนเสมอท่าน เต็มใจให้บริการทั้งในเวลาราชการและนอกเวลาราชการ โดยไม่คำนึงถึงผลตอบแทนไม่ว่าจะเป็น ค่าเบี้ยเลี้ยงหรือค่าตอบแทนการปฏิบัติงานนอกเวลาราชการ จะมีให้หรือไม่ ปฏิบัติตนต่อผู้บังคับบัญชา / เพื่อนร่วมงาน อย่างเสมอต้นเสมอปลาย  ไม่เลือกปฏิบัติทั้งต่อหน้าและลับหลัง ไม่นินทา
ว่าร้ายใคร ดูแลรักษาทรัพย์สินของทางราชการเป็นเสมือนของตนเอง ศึกษาหาความรู้เพื่อใช้ในการปฏิบัติงานตลอดเวลา

23/4/58

ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน ต้องเป็นคนดี คนเก่ง

ผู้แบ่งปันความรู้  :  นางสาวราณี   กุ๋ยเกิด                          
ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำปีพุทธศักราช ๒๕๕๓                   
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักจัดการงานทั่วไปชำนาญการ                  
หน่วยงาน :   สำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ                        
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน ต้องเป็นคนดี คนเก่ง

ตลอดระยะเวลาเกือบ ๓๐ ปีของการรับราชการที่กรมบัญชีกลางเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ววันที่ ๒๔ ธันวาคม ๒๕๕๔  จะเป็นวันที่รับราชการครบ ๓๐ ปีพอดี  เมื่อคิดทบทวนถึงวันเวลาที่ผ่านมา  เวลา ๓๐ ปีของการเป็นข้าราชการ ตำแหน่งที่น่าภูมิใจ มีเกียรติ เพราะเราเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งหมายถึงว่าเราต้องทำงานต่างพระเนตร พระกรรณในการให้บริการและดูแลประชาชน  แทนพระองค์  ดังนั้นข้าราชการทุกคนจึงต้องตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเป็นข้าราชการ   ซึ่งหมายความว่า ต้องปฏิบัติตนเป็นคนดี คนเก่งของหน่วยงานและสังคม ซึ่งถ้าเราปฏิบัติตนเป็นข้าราชการที่ดีก็จะเป็นคนดีไปพร้อม ๆ กัน จากประสบการณ์ของการรับราชการที่ผ่านมาเห็นว่าการเป็นข้าราชการที่ดีต้องประกอบด้วยคุณสมบัติ  ดังนี้
๑.ตระหนักรู้ถึงความสำคัญของการเป็นข้าราชการ ทุกเรื่องที่คิด ที่ทำ ทุกคำที่พูดต้องสำนึกว่าตนเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
๒. มีความรู้ ความสามารถสอดคล้องกับงานที่ตนเองทำ เพื่อปฏิบัติงานอย่างเต็มกำลังความสามารถ ให้เกิดความเชี่ยวชาญ มีประสิทธิภาพ  แสดงให้เห็นประจักษ์และเป็นประโยชน์ต่อราชการ                     
๓.  มีความรับผิดชอบ เมื่อได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติงานใดต้องทำงานให้ดีที่สุด ตั้งแต่เริ่มต้นจนสิ้นสุดงาน ซึ่งหมายถึงต้องทำงานด้วยความไม่ประมาท ไม่ละเลย ไม่ทอดธุระ ทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ เต็มกำลังความสามารถ  พร้อมยอมรับความผิดพลาดที่เกิดขึ้นโดยไม่มุ่งที่การแก้ตัว แต่มุ่งที่การแก้ไข เมื่อผลงานได้รับการยอมรับต้องถือว่าเป็นความรับผิดชอบร่วมกันของคนทั้งหน่วยงานหรือองค์กร           
๔.  มีวิสัยทัศน์  มีศักยภาพในการมองเห็นโอกาสในการพัฒนางานที่ทำหรือการมองเห็นข้อดี ข้อเสียที่ซ่อนอยู่ในทุกเรื่องที่ทำ รวมทั้งสามารถวางแผนการบริหารงานที่ตนเองได้รับมอบหมายล่วงหน้า อย่างเป็นระบบ มีแบบแผน มีความสามารถในการคิดเชิงสร้างสรรค์ ไม่เพียงแต่รอรับคำสั่งจากผู้บริหารเท่านั้น
๕.  มีจิตสำนึกสาธารณะที่ต้องตระหนักรู้และคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก รู้จักเอาใจใส่ เป็นธุระและเข้าร่วมในเรื่องของส่วนรวมที่เป็นประโยชน์ต่อหน่วยงาน ด้วยการคิดในทางที่ดีและสร้างสรรค์ อุทิศตน ทำประโยชน์ต่อส่วนรวมเพื่อนำมาซึ่งความภาคภูมิต่อตนเองและหน่วยงาน
๖.  มีความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส ในการปฏิบัติราชการรวมทั้งภารกิจที่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต โปร่งใส และเป็นธรรมอย่างเท่าเทียมกัน
๗.  มีปัญญาในการดำเนินชีวิตหมั่นแสวงปัญญาในการพัฒนาตนเองตลอดเวลา  เพื่อความมีประสิทธิภาพในการทำงาน การดำเนินชีวิต การเข้าสังคมและการบริหารจัดการกิเลสของตนเอง
๘.  มีความกล้าหาญทางจริยธรรม กล้ายืนหยัดที่จะพูด คิด ทำในสิ่งที่เห็นว่าถูกต้องเป็นธรรม พร้อมปกป้องผลประโยชน์ของส่วนรวม
ดังนั้น  ถ้าเราประสบความสำเร็จในการเป็นข้าราชการที่ดี ก็จะประสบความสำเร็จ  ในการเป็นคนดีไปพร้อม ๆ กัน และเมื่อข้าราชการเป็นคนดีแล้วต้องเป็นคนเก่งด้วยจึงจะเป็นความสมบูรณ์แบบของ “ข้าราชการ ข้าของแผ่นดิน ต้องเป็นคนดี คนเก่ง”  
ข้าราชการที่เป็น “คนเก่ง” จึงต้องมีความสามารถและมีคุณสมบัติในการนำตนเองไปสู่ความรับผิดชอบที่เพิ่มขึ้น มีความเป็นผู้นำ มีวิสัยทัศน์ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เรียนรู้ได้รวดเร็วกระตือรือร้น สามารถแก้ปัญหาและวางแผนป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาได้ ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกับเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชาและผู้ใต้บังคับบัญชาได้เป็นอย่างดี รวมทั้งการประสานงานกับบุคคลภายนอกหน่วยงานและองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพ  แต่การที่ข้าราชการจะเป็นคนเก่งได้อย่างสมบูรณ์แบบนั้นจะต้องเป็นคนที่ทั้งเก่งตน  เก่งคน และเก่งงาน สามารถครองตน ครองคน และครองงานอย่างมีหลักในการปฏิบัติ ดังนี้ 
๑.  หลักการบริหารตนเองหรือการครองคน  หมายถึง การทำให้เรื่องต่างๆ ที่ตนได้ตั้งเป้าหมายไว้ให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามเป้าหมายแห่งความสำเร็จที่ตั้งไว้ไม่ว่าจะเป็นความสำเร็จด้านส่วนตัว หน้าที่การงานหรือชีวิตครอบครัว  ด้วยการพัฒนาตนเองให้เป็นผู้ที่มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีหลักการและเหตุผล มีความละเอียดรอบคอบ มีแนวความคิดที่เป็นระบบไม่สับสนทางความคิดและสิ่งสำคัญคือ มีความสามารถในการตัดสินใจที่ถูกต้องชัดเจนและต้องไม่ขาดการฝึกฝน อบรมใฝ่หาความรู้และทักษะประสบการณ์เพิ่มเติม เพื่อพัฒนาความเชื่อมั่นของตนเองให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้สิ่งที่สำคัญที่สุด ต้องหมั่นดูแลสุขภาพร่างกายของตนเองให้แข็งแรงสมบูรณ์ ไม่ให้มีโรคภัยไข้เจ็บมาเบียดเบียน ต้องรู้จักที่จะควบคุมอารมณ์และความรู้สึกเมื่อมีสิ่งเร้าใด ๆ มากระทบ และสุดท้ายคือต้องเป็นผู้มีความสามารถยอมรับความเป็นจริงในทุกสิ่งของชีวิตที่เกิดขึ้นได้
๒.  หลักการบริหารคนหรือการครองคน หมายถึงการรู้จักคนอื่น มองคนอื่นในแง่ดี การบริหารคนหรือการครองใจคนจึงถือเป็นเรื่องที่ยากที่สุด ซึ่งเมื่อเราครองใจคนให้เกิดความรัก ความศรัทธาในตัวเราได้แล้ว การปฏิสัมพันธ์ในเรื่องอื่น ๆ จะประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก  หลักการครองใจคนจึงต้องเริ่มจากการให้ด้วยความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ด้วยจิตใจที่โอบอ้อมอารี  การใช้วาจาที่สุภาพอ่อนหวาน ฟังแล้วสบายใจ การรักษาคำพูด รวมทั้งการทำตนให้เป็นประโยชน์ต่อบุคคลอื่น  มีน้ำใจและมีจิตสำนึกที่เป็นสาธารณะ วางตนเสมอต้นเสมอปลาย หวังดี จริงใจไม่เสแสร้ง แนะนำช่วยเหลือ แก้ไขปัญหาและสิ่งสำคัญต้องมีความอดทน ยับยั้งและข่มใจ ต่อเรื่องใด ๆ ที่เข้ามาเกี่ยวข้องและมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมตลอดจนการเข้าใจผู้อื่นเอาใจเขามาใส่ใจเรา มีเหตุผลและมีหลักจิตวิทยาในการทำงาน ยอมรับนับถือความรู้ความสามารถของผู้อื่น มีเทคนิคในการใช้คน และมีศิลปะในการติดต่อสื่อสารทุกเรื่องให้ประสบความสำเร็จ
๓.หลักการบริหารงานหรือการครองงาน  หมายถึง การทำงานในหน้าที่หรืองานอื่น ๆ  ที่ได้รับมอบหมาย ด้วยความรับผิดชอบให้ประสบความสำเร็จได้รับความพึงพอใจจากผู้เกี่ยวข้อง ดังนั้น จึงต้องเริ่มจากรักและศรัทธาในงานที่ทำ  มีความขยันหมั่นเพียร มุ่งมั่น จริงใจด้วยความเสียสละและทุ่มเท อดทนไม่ท้อแท้ เพื่อให้งานนั้นประสบความสำเร็จอย่างกระตือรือร้นด้วยความรวดเร็ว ละเอียดรอบคอบ มีทักษะและไหวพริบในการทำงานและการแก้ปัญหาโดยใช้ความรู้ความสามารถและประสบการณ์ที่ผ่านมาทำงานอย่างเต็มกำลังเพื่อให้ได้ผลงานเป็นที่น่าพอใจของตนเองและผู้บังคับบัญชา และต้องมีการปรับปรุงหาวิธีการพัฒนางานของตนเองให้ดีขึ้นอย่างสม่ำเสมอ        

หาแรงดึงดูดเพื่อสร้างพลังในตัวเอง

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางสาวหัตทยา บุญธรรม
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๓
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักงานคลังจังหวัดสุโขทัย

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : ……หาแรงดึงดูดเพื่อสร้างพลังในตัวเอง…………...

   หลาย ๆ คนมักถามดิฉันว่าทำไมถึงทุ่มเททำงานมากมาย  หรือทำไมต้องทำงานนอกเวลาราชการ  และมักมีคำพูดแนบท้ายเชิงให้กำลังใจว่า “ประเทศชาติไม่ใช่ของเรา”  “เราไม่ทำคนอื่นก็ทำได้”  “ทำงานอย่างไรก็ไม่มีวันเสร็จหรอก” จึงมักตอบคนเหล่านั้นสั้นๆ เพื่อไม่ต้องอธิบายให้ยืดยาวว่า  “เพราะเกิดมาเพื่อสิ่งนี้”  นั้นเป็นเพราะเราเลือกแล้วว่าจะเดินบนเส้นทางนี้  จึงไม่มีเหตุผลใดที่จะหยุดหรือปฏิเสธงาน  เช่นเดียวกัน  คนที่ถามคำถามนี้ ส่วนใหญ่ก็เกิดมาเพื่อสิ่งนี้เหมือนกัน  แต่ทำไมเราจึงแสดงออกเป็นการกระทำที่แตกต่างกัน  ส่วนหนึ่งเชื่อว่าคนเรามีแรงดึงดูดในการที่จะสั่งให้ตัวเองมีทัศนคติหรือแสดงออกต่องานที่แตกต่างกัน   โดยปกติคนเราจะเจอกับแรงต้านในการทำงานอยู่ตลอดเวลา   เพราะไม่มีใครอยากทำงานหนัก  อยากเหนื่อย ไม่มีใครอยากนอนดึกหรือตื่นเช้า  จึงมักเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น  หรือรับเอาความคิดเห็นของคนอื่นที่ไม่สร้างสรรค์มาพินิจพิเคราะห์เสมอ   แล้วเราก็จะรีบตอบตัวเองว่า ทำแบบพอดีพอได้ หรืองานหน้าค่อยว่ากันใหม่   หลายคนจึงหมดโอกาสที่จะสร้างพลังในตัวเอง  แต่สิ่งที่ดิฉันมักนึกถึงอยู่เสมอเมื่อได้รับมอบหมายงาน  คือ ความรับผิดชอบ และจะวาดฝันถึงเป้าหมายหรือผลสำเร็จของงานก่อนเสมอ  จึงเป็นความรู้สึกที่ท้าทายว่าจะต้องพยายามทำงานให้เกิดผลงานที่ดีที่สุด  และมีความเชื่อว่าเราจะสามารถทำได้  จึงเป็นแรงดึงดูดที่ทำให้เรามีพลังในการทำงานต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ  และเมื่อผลงานสำเร็จย่อมสร้างความภาคภูมิใจกับตนเองว่าได้ทำงานอย่างเต็มที่แล้วและเกิดผลเป็นที่พอใจ (ถ้าเราพอใจนะ)  โดยไม่จำเป็นต้องมีคำชื่นชมจากใคร   เราก็จะเกิดความสุขจากการทำงานได้ไม่ยาก   เชื่อว่าถ้าใครลองเริ่มต้นปรับความคิดแบบนี้กับงานซักงานที่ทำ  ลองตัดความคิดที่บ่อนทำลายพลังในตัวเรา  แข่งขันกับความท้าทายในตัวเอง  แล้วเราอาจจะติดใจในพลังที่เกิดขึ้นก็เป็นได้
    วิธีคิดอีกอย่างสำหรับการประสบกับเพื่อนร่วมงาน เจ้านายหรือลูกน้อง หรือสภาพแวดล้อมในการทำงานที่ไม่พึงปรารถนา ให้คิดว่ามันไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะเปลี่ยนแปลงโลกใบนี้  มันไม่ใช่หน้าที่ของเราที่จะเปลี่ยนผู้คนรอบๆ ตัวเรา  งานและหน้าที่ของเรา คือ ทำตัวให้สอดคล้อง เหมาะสม เพียงพอ และพอใจกับสิ่งที่เราเป็นอยู่ และมุ่งมั่นให้ดีขึ้นจะดีกว่า  และอย่าพยายามมีความคิดว่าเราเก่งหรือดีที่สุด  เพราะนั่นหมายถึงการไม่พัฒนา แต่สิ่งที่ดิฉันคิดเสมอ คือ  ทำอย่างไรให้ดีกว่าเดิม

ที่กล่าวทั้งหมด  ไม่ได้หมายความว่าเราต้องใช้เวลาทั้งหมดของเราสำหรับการทำงานเท่านั้น  แต่ต้องจัดสมดุลในชีวิตสำหรับเรื่องอื่นๆ ด้วย  ไม่มีใครบอกได้ว่าสมดุลของแต่ละคนเป็นอย่างไร เอาเป็นว่าเรามีความสุข  และคนรอบข้างมีความสุขและไม่เดือดร้อนน่าจะใช้ได้   หลายครั้งที่เราพยายามให้สิ่งบางสิ่ง คนบางคน สถานที่บางสถานที่ สร้างความสุขให้เรา  แต่ความสุขนั้นกลับไม่เกิดขึ้น เพราะแท้จริงแล้ว สิ่งเดียว คนเดียว และสถานที่เดียวที่จะสร้างความสุขอย่างแท้จริงให้กับเรานั้น คือ ใจของเราเอง ตัวของเราเอง เท่านั้น  ลองฝึกคิดบวก  ชีวิตบวก (Positive Thinking, Positive Life) ตามหลักคิดของท่าน ว.วชิรเมธี กันนะค่ะ จะช่วยให้เกิดพลังในตัวเรามากขึ้นเลยทีเดียว


21/4/58

หลักคิดในการทำงาน

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางนพรัตน์ พรหมนารท
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๔๑ และ    ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๓
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านพัฒนาระบบงานตรวจสอบภายใน
หน่วยงาน :  สำนักกำกับและพัฒนาการตรวจสอบภาครัฐ กรมบัญชีกลาง
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน :  หลักคิดในการทำงาน

                   การดำรงชีวิตของทุกคนย่อมมีหลักคิดที่จะดำรงตนให้สามารถอยู่ในสังคมได้ หลักคิดของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันแล้วแต่ว่าใครจะยึดถือสิ่งใดเป็นสำคัญ ซึ่งทุกคนมีสติปัญญาที่ดีในการกำหนดหลักคิดของตนเอง ดังนั้นจึงขอแบ่งปันหลักคิดในการทำงานของตนเอง โดยยึดถือ ๓ รักษา คือ รักษาคำพูด รักษาเวลา และรักษากฎระเบียบ
                        รักษาคำพูด  มีคำกล่าว่า “ก่อนพูด เราเป็นนายคำพูด หลังพูด คำพูดเป็นนายเรา”  ดังนั้น การที่จะพูดอะไรออกไป ควรมีสติทุกครั้งว่าสมควรที่จะพูดหรือไม่ เพราะถ้าเราพูดอะไรออกไป ทุกคนก็จะเชื่อถือในคำพูดของเรา   การทำงานก็เช่นเดียวกัน ถ้าพูดแล้วว่าจะทำงานอะไรบ้าง ก็ต้องรับผิดชอบทำงานนั้นให้สำเร็จผล ซึ่งจะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเชื่อถือในคำพูดของเรา และสนับสนุนงานและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานต่อไป แต่ถ้าพูดแล้วไม่ทำตามคำพูด ผู้ที่เกี่ยวข้องก็จะไม่ให้ความเชื่อถือในคำพูดของเรา ก็จะส่งผลกระทบต่องานและความก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตนเอง  ในอนาคต
                        รักษาเวลา  ทุกคนย่อมมีเวลาเท่ากัน ไม่มีคนใดที่จะมีเวลามากหรือน้อยกว่าคนอื่น  ดังนั้น เวลาจึงเป็นสิ่งที่มีค่าของทุกคน เราจึงควรรักษาเวลาทุกครั้งที่เรากำหนดว่าจะทำงานให้แล้วเสร็จเมื่อใด เพราะถ้าเราช้า งานที่คนอื่นจะต้องทำต่อไปจากเราก็จะช้าไปด้วย ซึ่งจะทำให้งานภาพรวมของหน่วยงานเสียหายได้ คนเราจึงควรรักษาเวลาให้เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม
                        รักษากฎระเบียบ  ทุกสังคมย่อมมีกฎระเบียบไม่ว่าจะเป็นสังคมครอบครัวหรือสังคมการทำงาน         เพราะการอยู่ร่วมกันของคนหมู่มาก ย่อมมีปัญหาเกิดขึ้นได้ จึงจำเป็นต้องมีกฎระเบียบไว้เพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้ ดังนั้น คนเราจึงควรรักษากฎระเบียบที่มีอยู่ในสังคม เพื่อให้สังคมอยู่ร่วมกันและสนับสนุนเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน อันจะผลักดันให้งานสัมฤทธิ์ผล แต่ถ้าไม่รักษากฎระเบียบแล้ว ต่างคนต่างทำงานตามแต่ใจตนเอง ก็ย่อมจะเกิดความขัดแย้งได้ สุดท้ายก็จะส่งผลให้งานไม่บรรลุผลสัมฤทธิ์ ภาพลักษณ์ของหน่วยงานก็จะเสียหายเช่นเดียวกัน


                        การรักษา ๓ สิ่งดังกล่าว (คำพูด เวลา กฎระเบียบ) แล้ว  ย่อมเชื่อได้ว่าจะสามารถอยู่ในสังคมได้ดี มีคนนับถือ และเป็นที่ยอมรับของทุกคนในสังคมตลอดไป