21/4/57

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองตน ครองคน และครองงาน

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางลักษมี ประกอบกิจ
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองตน ครองคน และครองงาน

ศีล หมายถึง ข้อปฏิบัติทางพระพุทธศาสนาที่กำหนดการปฏิบัติกาย และวาจา เช่น ศีล ๕ ศีล ๘ เพื่อรักษากายวาจา ให้เรียบร้อย
สมาธิ หมายถึง การตั้งมั่นแห่งจิต ความสำรวจใจให้แน่วแน่เพื่อให้จิตใจสงบไม่ฟุ้งซ่าน ทำให้เกิดปัญญาเห็นแจ้ง
ปัญญา หมายถึง ความรอบรู้ ความรู้ทั่ว ความฉลาด ความเข้าใจชัดในสิ่งต่างๆ เกิดจากการเรียนรู้ การใช้ความคิด การฝึกฝน

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองตน
 - ศีล ผู้ที่รักษาศีลอยู่เสมอจะเป็นผู้ที่มีหลักประกันให้กับตนเอง ทำให้ตนเองมีความปกติสุข มีความสันติในระดับพื้นฐาน อย่างน้อยคนเราควรรักษาศีล ๕ ข้อ คือ เว้นจากทำลายชีวิต เว้นจากถือเอาของที่เขามิได้ให้ เว้นจากประพฤติผิดในกาม เว้นจากพูดเท็จ เว้นจากของเมา คือ สุราเมรัยอันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท ทั้งนี้ เพื่อสร้างหลักประกันตนให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ประพฤติตนได้อย่างเหมาะสม อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นเกิดความเชื่อถือในตัวเรา
 - สมาธิ ผู้ที่รู้จักพัฒนาจิต จนทำให้จิตมีสมาธิ มีสติ เกิดความสว่างไสวผุดขึ้นในใจ ก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริง    ในเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้น ทำให้เข้าใจโลก เข้าใจชีวิตว่าเป็นสัจธรรม สามารถมองเห็นแก่นแท้ของปัญหาและแก้ไขปัญหา  ที่เกิดขึ้นได้อย่างถูกต้อง เห็นทางเจริญทางเสื่อมแห่งชีวิตตามที่เป็นจริง ส่งผลให้ตนเองมีความสุข มีขวัญและกำลังใจในการดำรงชีวิตและทำงานต่อไป
 - ปัญญา ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักบาปบุญคุณโทษ รู้จักเหตุผล รู้จักฐานะของตนเอง และรู้จักประมาณตนเอง ไม่ฟุ้งเฟ้อ เห่อเหิม จนเกิดทุกข์
ผู้ที่ดำรงตนประพฤติปฏิบัติตนด้วยความสำรวมระวังศีล ไม่หลงสยบอยู่ในอารมณ์ที่น่ารักน่ากำหนัดยินดี และไม่หลงเครียดแค้นชิงชังในอารมณ์ที่ไม่น่ารักก็จะมีสมาธิ และมีปัญญา ศีลเป็นเครื่องมือชำระปัญญาให้บริสุทธิ์ ทำให้ไม่มีดวงจิตริษยา มีจิตที่สงบ มีใจที่เมตตา มีทัศนคติที่ดี ซึ่งจะส่งผลให้สุขภาพกาย สุขภาพใจดี ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ประสบแต่ความสุขและความเจริญก้าวหน้าตลอดไป

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองคน
 - ศีล ผู้ที่รักษาศีลนอกจากจะเป็นผู้มีหลักประกันชีวิตให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นผู้มีหลักประกันให้แก่ผู้อื่นด้วย เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคมต้องมีความสัมพันธ์กับบุคคลอื่นในฐานะต่างๆ เช่น เพื่อนร่วมงาน เพื่อน ผู้บังคับบัญชา ผู้ใต้บังคับบัญชา ฯลฯ ศีลจะเป็นตัวช่วยให้เราไม่เบียดเบียนเอารัดเอาเปรียบรังแกผู้อื่น ทำให้จิตปราศจากอคติ ทำให้เราเป็นผู้มีใจเมตตา รู้จักให้ความช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น เกื้อกูลกันในทางที่ชอบที่ควร
 - สมาธิ ผู้ที่พัฒนาจิตให้เป็นจิตบริสุทธิ์ สำรวจ แน่วแน่ ก็จะมีสติสัมปชัญญะ สามารถมองเห็นและเข้าใจในความแตกต่างทางกายภาพ ความคิด จิตใจ และพฤติกรรมของบุคคลอื่นที่อยู่ร่วมกันในสังคม จิตที่พัฒนาแล้วจะมีประโยชน์ต่อคนอื่น ทำให้มีทิฐิเสมอกัน สร้างความเข้าใจกันโดยง่ายไม่แตกแยกทางความคิด ทำให้ปัญหาสังคมน้อยลง
 - ปัญญา ผู้มีปัญญาย่อมรู้จักวางตนให้เหมาะสมกับผู้อื่น รู้เขารู้เรา รู้จักกาลเทศะ สามารถบริหารคนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ผู้ที่ประพฤติปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความสำรวมระวังศีล มีสมาธิ และมีปัญญา ก็จะเป็นที่รักใคร่ เป็นที่นับหน้าถือตา เป็น ที่น่าเชื่อถือแก่เพื่อนร่วมงาน ผู้ใต้บังคับบัญชา และผู้บังคับบัญชา สามารถประพฤติตนให้เข้ากับสังคม ปฏิบัติตนให้เหมาะสมและรู้จักประมาณ คือทำให้พอดี ไม่ขาด ไม่เกิน รู้จักกาลเทศะ ฯลฯ ก็จะสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างเป็นสุข ทำให้เกิดความรักสามัคคี ร่วมแรงร่วมใจ อันจะส่งผลให้สังคมสงบและเป็นสุข

ศีล สมาธิ ปัญญา กับการครองงาน
- ศีล ผู้ที่มีศีลจะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต เสมอภาค ไม่แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ และถือปฏิบัติตามจรรยาบรรณแห่งวิชาชีพอยู่เสมอ
- สมาธิ ผู้ที่มีสมาธิในการทำงาน จะสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ รอบคอบ และถูกต้อง ไม่ถูกตำหนิ ติเตียน
-ปัญญา ผู้ที่มีความเพียรหาความรู้ เพื่อเพิ่มพูนสติปัญญา ความสามารถ และวิสัยทัศน์ให้มีความเฉียบคมและทันสมัยอยู่เสมอ จะเป็นผู้ที่มีผลงานที่ดี เป็นที่ยอมรับของเพื่อนร่วมงาน ผู้บังคับบัญชา และบุคคลทั่วไป และจะได้รับการสนับสนุนให้มีความเจริญ ก้าวหน้าในหน้าที่การงานก่อนเสมอ
ผู้ที่ปฏิบัติงานด้วยความสำรวมระวังศีล มีสมาธิ และมีปัญญา จะประสบความสำเร็จและความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานอย่างยั่งยืน สำหรับบุคคลผู้ประพฤติผิดศีลก็จะไม่สามารถประสบความสำเร็จและเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานโดยชอบธรรมได้ และถึงแม้จะถึงความสำเร็จได้ก็ไม่จีรังยั่งยืน ต้องคอยหวาดระแวงกลัวใครจะมาเปิดโปงความประพฤติของตนเองตลอดเวลา

ดังนั้น ผู้มีศีล สมาธิ ปัญญาอยู่เสมอย่อมสามารถครองตน ครองคน และครองงาน ได้ตลอดกาล

หลักความพอเพียงกับการปฏิบัติราชการ

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางสาวชลธิชา นวลน้อย
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นิติกรชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักความรับผิดทางแพ่ง

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : หลักความพอเพียงกับการปฏิบัติราชการ
      มีคำกล่าวว่า “หนึ่งงานที่เราได้รับมอบหมายเท่ากับเราได้เรียนรู้และมีประสบการณ์เพิ่มขึ้นหนึ่งสิ่ง”   เราจึงสามารถแสวงหาความรู้ได้ในทุกที่ทุกโอกาสโดยไม่จำกัด และความรู้มิใช่มีเพียงสิ่งที่ศึกษาในชั้นเรียนหรือห้องอบรมเท่านั้น หากแต่ยังมีสิ่งที่เราไม่รู้อีกมากมายภายนอก ในโลกนี้จึงไม่มีใครที่สามารถรู้ทุกสิ่งหรือเก่งทุกเรื่องแต่ละคนย่อมมีความรู้ความชำนาญเฉพาะด้านตามแต่ความสามารถในการแสวงหาความรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มาปรับใช้ในการดำรงชีวิต
     ข้าพเจ้าได้มีโอกาสแสวงหาความรู้เพิ่มขึ้นอีกครั้งเมื่อได้เข้ารับการอบรมหลักสูตรการพัฒนานักกฎหมายภาครัฐระดับกลาง (ระดับชำนาญการขึ้นไป) นอกเหนือจากการรับฟังคำบรรยายจากวิทยากรแล้ว ข้าพเจ้ายังได้มีโอกาสไปศึกษาดูงาน ณ ศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงเรือนจำชั่วคราว เขากลิ้ง จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งได้นำหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำเนินงานของศูนย์เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้แก่นักโทษในการประกอบอาชีพภายหลังจากพ้นโทษแล้ว   อีกทั้งยังเป็นศูนย์ต้นแบบเพื่อให้ความรู้แก่เกษตรกรในพื้นที่ รวมถึงผู้สนใจมาศึกษาดูงาน ที่น่าสนใจคือภายในศูนย์มีเจ้าหน้าที่เพียง ๘ คน แต่ต้องดูแลนักโทษเป็นจำนวนมากถึงร้อยกว่าคน โดยที่ผ่านมาไม่เคยมีประวัตินักโทษหนีหรือก่อเหตุเหมือนเช่นเรือนจำอื่นๆ นักโทษแต่ละคนจะได้เข้ารับการฝึกอาชีพตามความถนัดและสนใจ เช่น การสร้างบ้านดินซึ่งเป็นบ้านที่อยู่อาศัยได้จริงและประหยัดพลังงาน การปลูกพืชผักปลอดสารพิษโดยใช้ธรรมชาติควบคุมธรรมชาติ การเลี้ยงสุกรแบบไม่มีกลิ่นเหม็น หรือที่เรียกว่า “หมูหลุม” เป็นต้น โดยที่นักโทษจะได้รับส่วนแบ่งกำไรจากการขายเป็นรายได้ส่วนหนึ่ง ทำให้นักโทษบางรายแม้จะพ้นโทษแล้วแต่ก็ยังประสงค์ทำงานในศูนย์ดังกล่าวต่อไป เนื่องจากเป็นวิถีชิวิตที่สุข สงบ  หากมีผู้ตั้งคำถามว่า ท่ามกลางกระแสโลกาภิวัตน์และเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ซึ่งอีกไม่นานในปี ๒๐๑๕ เราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของประชาคมอาเซียน เราจะปรับตัวเตรียมรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร สำหรับข้าพเจ้าเห็นว่า    การดำเนินชีวิตโดยใช้หลักความพอเพียงน่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุด คนที่ใช้ชีวิตพอเพียงย่อมมีความมั่นใจในตนเอง  ไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงต่อการตรวจสอบ สามารถดำเนินชิวิตอย่างคุ้มค่าและเกิดประโยชน์ คือ สุขภาพดี มีงาน มีทรัพย์จากความสุจริต พึ่งตนเองได้ มีศักดิ์ศรี เป็นที่ยอมรับ ครอบครัวผาสุก มีความภูมิใจ มีปัญญาแก้ไขปัญหา มีความโล่งใจจากการ   ทำกรรมดี ไม่หวั่นไหวต่อความผันแปรของโลก และดำรงอยู่ด้วยปัญญา
                        หลักความพอเพียง ที่ควรนำมาปรับใช้ในการดำรงชีวิต คือ
                        ๑. มีศีล มีวินัย ประพฤติสุจริต
                        ๒. ได้สดับมาก ศึกษาอย่างลึกซึ้งในสิ่งที่ตนเรียนรู้และใช้ได้จริง
                        ๓. รู้จักคบคนดี 
                        ๔. เป็นคนไม่ดื้อรั้น ดันทุรัง รับฟังข้อคิดเห็นของคนอื่น
                        ๕. เอาใจใส่ช่วยเหลือกิจธุระของผู้อื่นโดยเฉพาะชุมชนและสังคม
                        ๖. เป็นผู้รักในธรรมะ
                        ๗. มีความขยันหมั่นเพียร ไม่ย่อท้อ
                        ๘. มีความพึงพอใจในผลงานและผลสำเร็จของตนซึ่งแสวงหามาด้วยความชอบธรรม ไม่มัวเมาทางวัตถุ
                        ๙. มีสติมั่นคง ไม่ประมาท
                        ๑๐. มีปัญญาเหนืออารมณ์

                        อริสโตเติล กล่าวว่า ความดีงามสูงสุดที่มนุษย์ต้องมี ได้แก่ ๑) ความรอบรู้ ๒) ความยุติธรรม ๓) ความพอประมาณ และ ๔) ความกล้าหาญในวิชาชีพ ดังนั้น ในฐานะนักกฎหมายและข้าราชการที่ต้องปฏิบัติราชการเพื่อมุ่งเน้นให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชน จึงควรใช้หลักความพอเพียงในการดำรงชีวิต เพราะมนุษย์ผู้มีชีวิตที่พอเพียง มีความสุจริต เปิดเผย พร้อมที่จะให้ผู้อื่นตรวจสอบได้เสมอ ย่อมเป็นมนุษย์ที่ถึงพร้อมด้วย “หลักธรรมาภิบาล” ซึ่งจะช่วยให้มนุษย์อยู่ในกฎเกณฑ์ มีหลักการ มีอุดมการณ์ นำไปสู่การพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้ดีขึ้น

การใช้ทัศนคติที่ดีเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นายอรุณ คาน
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. ๒๕๕๐
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการโสตทัศนศึกษาชำนาญการ

หน่วยงาน :  สถาบันพัฒนาบุคลากรด้านการคลังและบัญชีภาครัฐ
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : การใช้ทัศนคติที่ดีเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง
                   จากหนังสือเรื่อง : WHO MOVED MY CHEESE? (ใครเอาเนยแข็งของฉันไป) เป็นที่กล่าวถึงในบ้านเรากว่าห้าปีก่อน ของนายแพทย์สเป็นเซอร์ จอห์สัน กล่าวถึงการปรับตัวตัวกับความเปลี่ยนแปลงในชีวิต เรื่องมีอยู่ว่า
                        มีคนแคระและหนูจิ๋วรวม 4 ชีวิต วิ่งวนอยู่ในเขาวงกตซึ่งสลับซับซ้อนแห่งหนึ่ง เพื่อแสะหาเนยแข็งอันเป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิต ในนี้มีสองชีวิตเป็นหนู ตัวหนึ่งชื่อ สนิฟฟ์ กับ สเคอร์รี่ อีกสองชีวิตเป็นมนุษย์แคระชื่อ เฮ็ม กับ ฮอว์ ทั้งสี่ชีวิตใช้เวลาในแต่ละวันวิ่งหาเนยแข็งในเขาวงกตนั้น  เจ้าหนูสนิฟฟ์ และ สเคอร์รี่ ใช้วิธีลองผิดลองถูกไฟเรื่อยๆ โดยใช้จมูกเป็นเครื่องนำทาง พวกมันจะจำทางที่ไม่มีเนยแข็งไว้ แล้ววิ่งไปทางอื่นจนถูกทาง ส่วนคนแคระเฮ็ม กับ ฮอว์ ก็ใช้ความรู้และประสบการณ์ในอดีตเข้าช่วย ในที่สุดทั้งสี่ชีวิต ได้พบกับคลังเนยแข็งขนาดใหญ่ ที่ดูเหมือนมีเนยเพียงพอที่ให้กินไปตลอดชีวิต พวกเขาได้พบแหล่งอาหารวิเศษที่แสนสะดวกสบายและไม่ต้องวิ่งตระเวนหาอีกต่อไป เวลาผ่านไปจนมาถึงเช้าวันหนึ่ง ทั้งสี่ชีวิต ได้พบว่าเนยแข็งกำลังจะหมดไป เจ้าสนิฟฟ์เห็นเช่นนั้นก็ไม่เสียเวลาวิเคราะห์ มันวิ่งหาเนยแข็งก้อนใหม่ทันที ส่วนเจ้าสเคอร์รี่ เห็นเช่นนั้นก็วิ่งตามโดยไม่รอช้า สนิฟฟ์ไปถึงไหนสเคอร์รี่ก็ไปที่นั่น ส่วนคนแคระเฮ็ม กับ ฮอว์ ไม่คาดมาก่อนว่าเนยแข็งจะหมดไป เฮ็มถึงกับตีโพยตีพายกล่าวโทษเทวดาฟ้าดินว่าไม่ยุติธรรมกับเขา แล้ววิเคราะห์ประเมินสถานการณ์ว่าเนยแข็งจะกลับมาหาเขาอีก แต่ ฮอว์ ดูเหมือนจะยอมรับความจริงได้มากกว่า เขาเริ่มคิดว่าเขาควรทำการเปลี่ยนแปลง เขาจึงชวนเฮ็ม ให้ออกไปหาเนยแข็งใหม่แบบที่หนูทั้งสองกำลังทำอยู่ ปรากฏว่า เฮ็มไม่ยอมรับฟัง ฮอว์ จึงไปสู่เขาวงกตตามลำพัง และแล้วเจ้าหนูทั้งสองก็ได้พบคลังเนยแข็งแห่งใหม่ที่ดีและใหญ่กว่าเดิม ฮอว์แม้จะออกมาช้ากว่าเจ้าหนูทั้งสอง แต่ในที่สุดเขาก็ได้พบคลังเนยแข็งใหม่เช่นกัน เขาจึงชวนแฮมให้ออกมาจากสถานที่ที่ไม่มีเนยแข็งเหลืออยู่ แต่แฮมกลับปฏิเสธ ทั้งยังไม่ยอมรับเนยแข็งที่ ฮอว์ อุตส่าห์เอาไปฝาก  ฮอว์จึงจำเป็นต้องปล่อยเพื่อนไว้เช่นนั้น ระหว่างที่ฮอว์ ออกมาเผชิญโชคครั้งใหม่ ความคิดเขาเริ่มเปลี่ยนแปลงไปที่ละน้อย เขาสรุปสัจธรรมแห่งการเปลี่ยนแปลงไป โดยเขียนไว้บนกำแพงเป็นระยะๆ ถ้าคุณไม่เปลี่ยนแปลง คุณอาจสูญพันธ์ ฮอว์สุขสบายในคลังเนยแข็งแห่งใหม่ แต่ก็ยังคิดและหวังว่า เฮ็มเพื่อนรักจะตามมาตามลายแทง และข้อคิดที่เขาบอกทางไว้ให้ แล้ววันหนึ่งฮอว์ก็ได้ยินเสียงกุกกักดังมาจากทางเดินข้างนอก นั่นอาจเป็นแฮมก็ได้ใครจะรู้  ทั้งสี่ชีวิตเป็นตัวแทนแห่งสัญชาตญาณ และความคิดในการตอบโต้ต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง  สนิฟฟ์เป็นผู้ดมกลิ่นเปลี่ยนแปลงได้ก่อนใครจึงน่าออกไปก่อน สเคอร์รี่ไม่คิดอะไรเลยวิ่งตามกระแสอย่างเดียว  เฮ็มเป็นผู้ปฏิเสธต่อต้านการเปลี่ยนแปลง โดยคิดว่าการเปลี่ยนแปลงจะปรากฏโฉมในทางเลว  มากมายกว่าเดิม  ส่วนฮอว์เป็นคนเรียนรู้และปรับตัวตามยุคสมัย เมื่อเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงจะนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า  ในโลกแห่งการทำงานมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย นิทานเรื่องนี้อาจให้แง่คิดที่เตือนให้ผู้คนมองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด                      
                                   
                        ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกได้ วิธีที่ดีที่สุดกับการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลง คือ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงและเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงอย่างชาญฉลาด (ตอนท้ายของนิทาน) สิ่งที่ต้องมีประกระการแรกคือ มีทัศนคติที่ดีต่อการเปลี่ยน เห็นความเปลี่ยนแปลงเป็นโอกาส  แต่การปรับเปลี่ยนทัศนคติไม่ใช่เรื่องง่าย โดยพื้นฐานทัศนคติที่ไม่ดีเกิดจากเกิดจากการขาดความรู้ แล้วตามมาด้วยความกลัว หากไม่แก้ไขนานๆเข้าก็กลายเป็นอคติ  การออกจากอคติจึงต้องเริ่มจากความกล้าหาญ กล้าหาญที่ต้องต่อสู้กับตัวเองเป็นอันดับแรก  ตัวอย่างง่ายๆที่กระทบกับชีวิตการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวันของเราคือการนำระบบ IT มาใช้ในชีวิตการทำงานหรือชีวิตประจำวัน  ประการแรกควรเริ่มปรับความคิดก่อนว่า ITเป็นเพียงเครื่องมือช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้คุณภาพชีวิตของเราดีขึ้น มันคือผู้รับใช้เรา มันไม่น่ากลัวอย่างที่เราคิด อย่ากลัวหรืออายที่จะถูกมองว่าเป็นคนไม่ทันสมัย หากไม่รู้ก็ต้องเรียนรู้ ซึ่งปัจจุบันมีช่องทางการเรียนรู้อย่างมากมาย เช่น ผู้เชี่ยวชาญ เพื่อนร่วมโดยเฉพาะผู้รวมงานรุ่นใหม่ หากนำมาใช้แล้วจะเห็นประโยชน์อย่างมหาศาล อย่างไรก็ดี ควรใช้อย่างฉลาดและมีสติ รักษาความสมดุลของชีวิต
                        จะเห็นได้ว่าการเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงไม่ว่าในทางบวกหรือลบ ต้องใช้ทัศนคติที่เป็นบวกเสมอ (ATTITUDE Is A Little Ting THAT MAKE A BIG Differeance

14/4/57

หลักการครองตน ครองคน ครองงาน

ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์ : นายชินภัทร   ปัญยารชุน
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง : ข้าราชการพลเรือนดีเด่น ปี พ.ศ. 2546
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  : เจ้าพนักงานพิมพ์ดีด
หน่วยงาน : สำนักงานเลขานุการกรม

ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน :  หลักการครองตน ครองคน ครองงาน

การครองตน  การบริหารตนเอง จะต้องปฏิบัติตนให้เป็นสมาชิกที่ดีมีคุณค่าต่อสังคม เป็นแบบอย่างที่ดี สามารถนำหมู่ชน และสังคมไปสู่ความสันติสุข น่าเคารพนับถือ ไม่ทำให้ผู้อื่นความเดือนร้อน คิดดีทำดีใจก็เป็นสุข เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวม มีความวิริยะ อุตสาหะ  ในงานหน้าที่ความรับผิดชอบ และมีความตั้งใจที่จะทำงานในหน้าที่ให้ได้รับความสำเร็จด้วยการ มีความอดทนไม่ย่อท้อต่อปัญหาอุปสรรค  รู้หลักการเหตุผลและกฎเกณฑ์ที่เราเข้าไปเกี่ยวข้องในการดำเนินชีวิต เข้าใจในสิ่งที่ตนจะประพฤติในการปฏิบัติหน้าที่ และภารกิจต่างๆ  ตำแหน่งหน้าที่  ฐานะเป็นส่วนหนึ่งของการแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบ  แต่ความเป็นมนุษย์เท่าเทียมกัน และความมีคุณธรรมจึงจะถือว่าเป็นการครองตนและเป็นแบบอย่างต่อผู้อื่นได้รู้จักใช้จ่ายตามควรแห่งฐานะเพื่อสร้างฐานะตนเองและครอบครัว  เสียสละ เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม และกำลังความคิดริเริ่มสร้างสรรค์เพื่อช่วยเหลือมนุษย์ที่ยังขาดสิทธิพึงตนที่พึ่งได้ มีความซื่อสัตย์ สุจริตต่อตนเอง และผู้อื่น ส่งเสริม สนับสนุนระบบประชาธิปไตย ทำงานโดยมีเป้าหมายส่วนรวม
การครองคน  การจัดงานให้ตามกำลังคือมอบหมายหน้าที่การงานให้ตามกำลังความรู้สติปัญญา ความสามารถ รู้จักใช้คนให้ถูก กับงาน การให้บำเหน็จรางวัล เมื่อทำดี ก็รู้จักยกย่องชมเชย สนับสนุน อุดหนุน ให้ได้รับบำเหน็จรางวัล เลื่อนยศ เลื่อนตำแหน่งตามสมควรแก่ฐานะการมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น กล้าและรับผิดชอบในสิ่งที่ได้กระทำมี น้ำใจ ช่วยเหลือ และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติงาน ความสามารถในการร่วมทำงานเป็นกลุ่ม สามารถจูงใจให้เกิดการยอมรับและให้ความช่วยเหลือ มีความสามารถในด้านองค์ความรู้และทักษะในการในการคิดและเสนอเหตุผล ให้บริการแก่ผู้มาติดต่องานด้วยอัธยาศัยที่ดี ยิ้มแย้มด้วยไมตรีจิต มีความสำนึกและถือเป็นหน้าที่ที่จะต้องให้บริการ ช่วยเหลือ แนะนำในสิ่งที่ดี ตลอดจนให้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ ให้การบริการด้วยความเต็มใจ
การครองงาน ความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ใฝ่ศึกษา ค้นคว้า มีความตั้งใจปฏิบัติงานให้ได้รับความสำเร็จ สนใจและเอาใจใส่งานที่รับผิดชอบ สามารถในการคิดริเริ่ม หาหลักการ แนวทาง วิธีการใหม่ ๆ มาใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติงาน ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และสามารถทำงานที่ยาก หรืองานใหม่ให้สำเร็จเป็นผลดี ความพากเพียรในการทำงาน และมีผลงานที่เป็นที่น่าพอใจ การคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม กำลังใจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งในการทำงาน โดยเฉพาะงานที่มีความ ซับซ้อน ยุ่งยาก ใช้เวลามาก ต้องมีคนให้กำลังใจให้แรงสนับสนุนถึงจะสำเร็จลงได้ในผลตอบแทนที่ได้จากงานที่ทำประสบความสำเร็จ
สรุปได้ว่า บุคคลทำงานอาชีพมีเป้าหมายของการทำงานเพื่อให้ตนเองและบุคคลอื่นที่อยู่ในสังคม เกิดความสุขทุก ๆ ด้านตามความต้องการของมนุษย์