29/10/56

จริยธรรมว่าด้วยการรู้จักตนเอง


ผู้แบ่งปันความรู้และประสบการณ์  :  นางสาวพรรณนภา เผ่าจินดา
คนดีศรีกรมบัญชีกลาง  :  ข้าราชการส่วนกลางดีเด่น ปี พ.ศ. 2535
ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง  :  นักวิชาการคลังชำนาญการ
หน่วยงาน :  สำนักกำกับและพัฒนาระบบเงินนอกงบประมาณ
ความรู้และประสบการณ์ที่แบ่งปัน : จริยธรรมว่าด้วยการรู้จักตนเอง

การดำเนินชีวิตของมนุษย์โดยทั่วไปจะมีความราบรื่นดีไม่มีความพลาดพลั้ง จะต้องมี “จริยธรรม” เป็นหลักในการปฏิบัติตน ซึ่งจำเป็นต้องมีทุกคน หากคนใดไม่มีหลักการแล้วชีวิตก็จะจับทิศทางเดินไม่ถูก ไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหน เคว้งคว้างบังคับไม่ได้ เปรียบเหมือนกับเรือที่ขาดหางเสือ บังคับแล่นไปตามทิศทางที่กำหนดไม่ได้ ดังนั้น ข้าราชการที่ดี ต้องมี จริยธรรมว่าด้วยการรู้จักตนเอง เป็นหลักในการปฏิบัติตน เพื่อให้ชีวิตเดินถูกทาง ไม่เคว้งคว้าง
พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้ความหมายของคำว่า “จริยธรรม” ว่า  ธรรมที่เป็นข้อประพฤติปฏิบัติ ศีลธรรม กฎศีลธรรม จริยวัตร จริยาวัตร หน้าที่ที่พึงประพฤติปฏิบัติ ความประพฤติ ท่วงที วาจา และกิริยามารยาท
นอกจากความหมายของคำว่าจริยธรรมตามพจนานุกรมฯ แล้ว ยังมีคำอื่นที่มีความหมายใกล้เคียงกัน และอยู่ในขอบข่ายของจริยธรรมด้วย ได้แก่ คำว่า จรรยา จรรยาบรรณ คุณธรรม มโนธรรม และ มารยาท ดังนั้น เพื่อให้เกิดความเข้าใจที่ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงควรทำความเข้าใจกับคำเหล่านี้ด้วย
1. จรรยา หมายถึง ความประพฤติ กิริยาที่ควรประพฤติในหมู่คณะ  เช่น จรรยาครู จรรยาแพทย์ ฯลฯ
2. จรรยาบรรณ หมายถึง ประมวลความประพฤติที่ผู้ประกอบอาชีพการงานแต่ละอย่างกำหนดขึ้น เพื่อรักษาและส่งเสริมเกียรติคุณ ชื่อเสียงและฐานะของสมาชิก
3. คุณธรรม หมายถึง สภาพคุณงามความดีทางความประพฤติและจิตใจ เช่น ความเป็นผู้ไม่กล่าวเท็จโดยหวังประโยชน์ส่วนตน
4. มโนธรรม หมายถึง ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ความรู้สึกว่าอะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ เชื่อกันว่า มนุษย์ทุกคนมีมโนธรรม เนื่องจากบางขณะเกิดความรู้สึกขัดแย้งในใจระหว่างความรู้สึกว่าต้องการทำสิ่งหนึ่งและรู้ว่าควรทำอีกสิ่งหนึ่ง
5. มารยาท หมายถึง กิริยาวาจาที่สังคมกำหนดไว้เป็นที่ยอมรับในกลุ่มแต่ละท้องถิ่นแตกต่างกันไป
จากความหมายดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า จริยธรรม หมายถึง ความประพฤติปฏิบัติของการอยู่ร่วมกันของคนในสังคมโดยยึดหลักศีลธรรม ความถูกต้อง อันจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองและสังคม
ดังนั้น การเป็นข้าราชการที่ดี ต้องมีจริยธรรมเป็นหลักในการปฏิบัติตน เพื่อให้ชีวิตเดินถูกทาง ไม่เคว้งคว้าง เป็นเรือที่มีหางเสือ บังคับให้แล่นไปตามทิศทางที่กำหนดได้ กล่าวคือ ข้าราชการที่ดีต้องเป็นผู้ที่มี “จริยธรรมว่าด้วยการรู้จักตนเอง” เป็นหลักในการปฏิบัติตน
 “การรู้จักตนเอง” หมายถึง การรู้จักฐานะ ตำแหน่ง หน้าที่ เพศ  ภูมิของตนเอง ว่าเป็นใคร มีฐานะอย่างไร  มีหน้าที่อย่างไร แล้วประพฤติปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับตนเอง เช่น เป็นข้าราชการจะต้องรู้จักหน้าที่ของข้าราชการว่ามีอะไรบ้าง จะต้องปฏิบัติตนอย่างไร คุณธรรมใดบ้างที่ควรปฏิบัติเพิ่มเติม ซึ่งคุณธรรมสำหรับปฏิบัตินั้นมีหลายประการ คือ
1. หิริโอตตัปปะ มีความเกลียดชั่วกลัวทุจริต  มองเห็นความชั่วทั้งหลายเหมือนของสกปรก ไม่อยากจะเข้าใกล้กลัวเปื้อนตัวเอง หรือเปื้อนเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวมใส่ พิจารณาความชั่วเหมือนกับถ่านเพลิงที่ลุกโชนไม่อยากจะแตะต้องเพราะกลัวจะไหม้มือฉะนั้น
2. รู้จักแนวความคิดหรือประพฤติตนในทางที่ถูก หมายถึง มีแนวคิดและปฏิบัติตนให้ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม คิดและทำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์และถูกต้องแก่เวลา สถานที่ เช่น เมื่อเป็นข้าราชการสิ่งที่จะต้องคิดและปฏิบัติก็คือ ต้องมีความจริงใจชื่อตรง ดังคำพังเพยที่ว่า “ซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน” ความจริงใจซื่อตรงนี้ก็คือ ความจริงใจ   ต่อตนเอง ต่อผู้อื่น ต่อหน้าที่ที่เรามี ต่อการงานที่เราทำ ต่อประเทศชาติ ตลอดจนความซื่อสัตย์สุจริตด้วย
3. มีความขยันหมั่นเพียร หมายถึง การกระทำกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยความขยันขันแข็ง และกระทำอย่างต่อเนื่องโดยสม่ำเสมอไม่ทอดธุระในสิ่งที่ทำ หรือปล่อยให้งานคั่งค้าง ซึ่งเป็นการพอกพูนทำให้เกิดความล่าช้าเสียหาย ผู้มีความขยันหมั่นเพียรย่อมทำการงานได้สำเร็จตามเวลาที่กำหนดไว้ ส่วนผู้มี่เกียจคร้านย่อมทำงานไม่สำเร็จ และยังปราศจากการยอมรับของผู้อื่นอีกด้วย
4. รู้จักประหยัด หมายถึง การใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้น้อยที่สุด โดยได้ผลประโยชน์จากการใช้นั้นมากที่สุด เช่น
- ประหยัดเงิน คือ การใช้เงินเมื่อถึงคราวใช้โดยรู้คุณค่าของเงิน ไม่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยสุรุ่ยสุร่าย หรือใช้อย่างไม่ถูกทาง แต่มิได้หมายถึงการเก็บไว้โดยไม่จ่ายเลย จะต้องรู้จักเก็บให้เหมาะสม ดังคำกลอนว่า
“มีสลึงพึงบรรจบให้ครบบาท อย่าได้ขาดสิ่งของต้องประสงค์
มีน้อยใช้น้อยค่อยบรรจง อย่าจ่ายลงให้มากจะยากนาน
ไม่ควรซื้อก็อย่าไปพิไรซื้อ ให้เป็นมื้อเป็นคราวทั้งคาวหวาน
ยามพ่อแม่แก่เฒ่าชรากาล จงเลี้ยงท่านอย่าให้อดรันทดใจ”
- ประหยัดเวลา คือ รู้จักใช้เวลาที่มีอยู่ให้เป็นประโยชน์ คุ้มค่ะกับเวลาที่ผ่านไป
- ประหยัดวาจา คือ รู้จักพูดในเวลาและสถานที่ที่ควรพูด โดยคำนึงถึงสภาพแวดล้อมและบุคคลที่พูดด้วย 
5. ละเว้นอบายมุขทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นการกิน การดื่มน้ำเมา การเที่ยวกลางคืน การดูการละเล่น การเล่นการพนัน การคบเพื่อนชั่ว หรือการเกียจคร้านไม่ทำการงาน เหล่านี้จงพยายามหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลเหมือนกับหลีกเลี่ยงอสรพิษฉะนั้น เพราะอบายมุขเป็นหนทางแห่งความเสื่อม ความพินาศ เป็นเหตุแห่งความหายนะ ไม่เคยให้ใครได้รับความเจริญรุ่งเรืองในชีวิตแม้แต่คนเดียว
6. เป็นคนว่าง่าย คือ ไม่ดื้อรั้น ถือทิฐิมานะเมื่อฟังคำตักเตือนจากผู้อื่นที่เขาเตือนด้วยความหวังดีแล้วแทนที่จะถือโทษโกรธเคือง กลับมีความรู้สึกยินดีรับคำตักเตือนนั้นด้วยความยินดี เหมือนกับพบผู้ชี้ขุมทรัพย์ให้
ผู้มีจริยธรรมเป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน จะเป็นผู้ที่มีเสน่ห์เมตตามหานิยมแก่ผู้พบเห็นทั่วไป โดยไม่ต้องมีการเสกเป่าแต่อย่างใด เพียงแต่ขอให้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง และปลูกฝังให้มีขึ้นในตนเอง ทุกอย่างก็จะเป็นไปได้อย่างที่ตั้งใจ  




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

แบ่งปันเพิ่มเติม